คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัมพร ทองประยูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 576 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของพนักงานรัฐวิสาหกิจฐานยักยอกเงิน ยอมรับสารภาพเป็นหลักฐานสำคัญ
จำเลยเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของธนาคาร มีหน้าที่เก็บรักษาเงินเมื่อถูกตรวจสอบพบว่าเงินหายก็ยอมรับว่าเป็นผู้ยักยอกเงินที่เก็บรักษาไว้ไปในทันทีและโดยสมัครใจ ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะฟังได้แล้วว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน และการลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ต่างจากที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยฎีกาว่าศาลรับฟังแต่แผนที่เกิดเหตุกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยประมาทโดยไม่รับฟังพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์อื่นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวขวาเข้าซอยโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตัดหน้ารถที่จำเลยที่ 2 ขับสวนมาใน ระยะใกล้จนเป็นเหตุชนกัน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เลี้ยวรถก่อนถึงทางแยกเข้าซอยเพื่อจะขับเลาะ ไหล่ถนนแล้วเกิดเหตุชนกัน ดังนี้เมื่อการชนกันเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ระมัดระวังต่อรถในทางตรง ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานขับรถโดยประมาทตามข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาประเด็นจุดชนที่ไม่ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ และประเมินความประมาทของผู้ขับขี่
ในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยในเรื่องจุดชนว่าอยู่ในทางเดินรถของจำเลยที่ 2การที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าจุดชนอยู่ในทางเดินรถของจำเลยที่ 2จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่อยู่ในการครอบครองและดูแลรักษา: ผู้มีหน้าที่ดูแลมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2โดยขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3ชนสัญญาณไฟจราจรในขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์จนได้รับความเสียหาย แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของสัญญาณไฟจราจรดังกล่าวแต่โจทก์มีหน้าที่จัดหา ติดตั้ง ครอบครองและบำรุงรักษาให้สัญญาณไฟจราจรที่ได้รับความเสียหายนั้นมีสภาพดีเช่นเดิม โจทก์จึงเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสาม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินสาธารณะ แม้ไม่ใช่เจ้าของ ผู้ครอบครองมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด
การที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดทำให้สัญญาณไฟจราจรที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์เสียหาย แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของสัญญาณไฟจราจรดังกล่าวโจทก์ก็ต้องจัดหา ติดตั้ง และบำรุงรักษาสัญญาณไฟจราจรที่ต้องเสียหายนั้นให้มีสภาพดีเช่นเดิม ตามหน้าที่ โจทก์จึงเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากละเมิดต่อทรัพย์สินที่ดูแลรักษา แม้ไม่ใช่เจ้าของ
โจทก์มีหน้าที่จัดหา ติดตั้ง ครอบครอง ดูแลและรักษาสัญญาณไฟจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยเมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดทำให้สัญญาณไฟจราจรในขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์เสียหาย แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของโจทก์ก็จะต้องทำการจัดหา ติดตั้งและบำรุงรักษาสัญญาณไฟจราจรนั้นให้มีสภาพดีเช่นเดิมตามหน้าที่ โจทก์ย่อมเสียหายจากการกระทำละเมิด จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้ลูกจ้างนอกเวลาทำงาน
การที่จำเลยที่ 2 ขับรถในวันเกิดเหตุเป็นการปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้เหตุจะเกิดในขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถเอามาเก็บ และก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จะใช้รถขับไปเที่ยวมาก่อนก็ถือว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินร่วมกัน-อำนาจฟ้อง-การครอบครองแทนและโดยอาศัยสิทธิของตนเอง-การยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลง ได้แบ่งขายให้โจทก์บางส่วนโดยยังมิได้มีการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนแน่นอน และแม้จำเลยที่ 1 จะได้ยกที่ดินอีกบางส่วนให้จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไปยื่นขอออก น.ส.3 ก. แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนเช่นกัน การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินดังกล่าว นอกจากจะเป็นการครอบครองแทนโจทก์แล้ว ก็ยังเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของตนเองด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะได้เช่าที่ดินในส่วนของโจทก์และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ามาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ได้ และเมื่อจำเลยที่ 2 อยู่ในที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2เช่นกัน ศาลยกฟ้องของโจทก์ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่เพียงใด จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินร่วมกันและอำนาจฟ้องขับไล่: การฟ้องขับไล่ต้องคำนึงถึงสิทธิครอบครองร่วมกันของผู้ถูกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน โดยยังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นสัดส่วน แม้จำเลยที่ 1 ยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ไปยื่นคำขอออก น.ส.3 ก.ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นสัดส่วน การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินทั้งแปลงย่อมเป็นการลบล้างสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ด้วย และแม้จำเลยที่ 1 จะเช่าที่ดินส่วนของโจทก์และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วโจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ได้เพราะเป็นการขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของจำเลยที่ 1 เองด้วยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าที่อยู่จริงหรือไม่เพียงใด สมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองร่วม การฟ้องขับไล่ และผลกระทบต่อสิทธิของคู่ครองร่วม
โจทก์จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินร่วมกันโดยยังมิได้แบ่งแยกสัดส่วนแน่นอน โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินส่วนของโจทก์ต่อมาเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย การที่ศาลยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรที่จะกำหนดในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ.
of 58