พบผลลัพธ์ทั้งหมด 576 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5920/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีก่อสร้าง: การละเสียซึ่งอายุความของลูกหนี้ชั้นต้นไม่ผูกพันผู้ค้ำประกัน
โจทก์รับมอบงานการก่อสร้างอาคารพิพาทจากจำเลยแล้ว ต่อมากรรมการควบคุมงานก่อสร้างและรับมอบงานก่อสร้างอาคารพิพาทได้ตรวจพบการชำรุด บกพร่องของอาคารพิพาท โจทก์ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันการชำรุด บกพร่องได้ปรากฏขึ้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า1 ปี นับแต่วันดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ แม้จะมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดในความชำรุด บกพร่องตามที่โจทก์เรียกร้อง แต่เป็นการยอมรับหลังจากอายุความครบบริบูรณ์แล้วถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ จำเลยที่ 1จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความของลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ลบล้างสิทธิของผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5811/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีคู่สัญญาที่ถูกต้อง การยินยอมของคนขับรถแทนบริษัทประกันภัยไม่ถือเป็นสัญญา
บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ข้อ (3) ระบุว่าโจทก์ขอให้บริษัทประกันภัยของจำเลยที่ 2 นำรถของโจทก์ไปซ่อมแซมให้ และข้อ (4) ระบุว่า จำเลยที่ 2 โดยบริษัทประกันภัยยินยอมตามข้อตกลง แสดงว่า จำเลยที่ 2 ตกลงตามบันทึกนั้นแทนบริษัทประกันภัยหาใช่ตกลงในฐานะส่วนตัวไม่ และการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงคนขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 ยินยอมตามข้อตกลงดังกล่าวเพราะทราบว่ารถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 มีประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย และคิดว่าบริษัทประกันภัยคงต้องชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ จึงได้ยินยอมตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวขึ้น ดังนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่าบันทึกข้อตกลงเช่นว่านี้เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และบริษัทประกันภัยจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะมีผลให้มูลหนี้ละเมิดตามฟ้องระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5811/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงซ่อมรถโดยคนขับรถบรรทุกแทนบริษัทประกันภัย ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ข้อ (3) ระบุว่าโจทก์ขอให้บริษัทประกันภัยของจำเลยที่ 2 นำรถของโจทก์ไปซ่อมแซมให้ และข้อ (4) ระบุว่า จำเลยที่ 2 โดยบริษัทประกันภัยยินยอมตามข้อตกลง แสดงว่า จำเลยที่ 2 ตกลงตามบันทึกนั้นแทนบริษัทประกันภัยหาใช่ตกลงในฐานะส่วนตัวไม่ และการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงคนขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 ยินยอมตามข้อตกลงดังกล่าวเพราะทราบว่ารถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 มีประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย และคิดว่าบริษัทประกันภัยคงต้องชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ จึงได้ยินยอมตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวขึ้น ดังนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่าบันทึกข้อตกลงเช่นว่านี้เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และบริษัทประกันภัยจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะมีผลให้มูลหนี้ละเมิดตามฟ้องระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5789/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนผู้จัดการมรดก กรณีละเลยหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกตามกฎหมาย
ศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดให้ตั้งผู้ร้อง และผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันจึงเป็นหน้าที่อันสำคัญที่ผู้จัดการมรดกดังกล่าวจะพึงตรวจสอบจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ฟังคำสั่งศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1728,1729 ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าเหตุที่ไม่ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกแสดงต่อศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เพราะผู้คัดค้านปฏิเสธร่วมทำบัญชีกับผู้ร้อง โดยอ้างว่าต้องแบ่งทรัพย์สินของผู้ตายให้ผู้คัดค้านครึ่งหนึ่งก่อนจึงจะยอมทำบัญชีทรัพย์มรดกดังนี้ จึงเป็นการละเลยไม่กระทำตามหน้าที่ผู้จัดการมรดก มีเหตุสมควรที่ศาลจะถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ตามป.พ.พ. มาตรา 1731.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5767/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกเสียงข้างมาก ไม่ต้องขอศาลชี้ขาดหากไม่ใช่กรณีเสียงเท่ากัน
ผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของ น. ร่วมกันตามคำสั่งของศาลเมื่อผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 ยินยอมให้ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้เข้ารับโอนใบอนุญาตโรงเรียนสืบต่อจาก น. แต่ผู้ร้องที่ 2คัดค้าน ดังนี้เป็นการจัดการมรดกซึ่งผู้จัดการมรดกทำการตามหน้าที่โดยเป็นฝ่ายเสียงข้างมาก ไม่ใช่เสียงเท่ากันในอันที่จะร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ตามคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดได้ จึงไม่จำเป็นที่ศาลต้องไต่สวนคำร้องดังกล่าวส่วนการที่ผู้ร้องที่ 2 โต้แย้งคัดค้านการที่ผู้ร้องที่ 1 ขอเข้าเป็นผู้รับโอนใบอนุญาตโรงเรียนนั้น หากต้องเสียหาย ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกับผู้ร้องที่ 2เป็นคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5767/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกโดยผู้จัดการหลายคน: เสียงข้างมากมีอำนาจตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องให้ศาลชี้ขาดเมื่อเสียงไม่เท่ากัน
ผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของ น. ร่วมกันตามคำสั่งของศาลเมื่อผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 ยินยอมให้ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้เข้ารับโอนใบอนุญาตโรงเรียนสืบต่อจาก น. แต่ผู้ร้องที่ 2คัดค้าน ดังนี้เป็นการจัดการมรดกซึ่งผู้จัดการมรดกทำการตามหน้าที่โดยเป็นฝ่ายเสียงข้างมาก ไม่ใช่เสียงเท่ากันในอันที่จะร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726
ตามคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดได้ จึงไม่จำเป็นที่ศาลต้องไต่สวนคำร้องดังกล่าวส่วนการที่ผู้ร้องที่ 2 โต้แย้งคัดค้านการที่ผู้ร้องที่ 1 ขอเข้าเป็นผู้รับโอนใบอนุญาตโรงเรียนนั้น หากต้องเสียหาย ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกับผู้ร้องที่ 2เป็นคดีใหม่.
ตามคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดได้ จึงไม่จำเป็นที่ศาลต้องไต่สวนคำร้องดังกล่าวส่วนการที่ผู้ร้องที่ 2 โต้แย้งคัดค้านการที่ผู้ร้องที่ 1 ขอเข้าเป็นผู้รับโอนใบอนุญาตโรงเรียนนั้น หากต้องเสียหาย ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกับผู้ร้องที่ 2เป็นคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5702/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฐานรับของโจร: การบรรยายฟ้อง การพิพากษาลงโทษ และขอบเขตการชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษในฐานรับของโจรว่า จำเลยได้ครอบครองและนำเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายไปจำนำที่โรงรับจำนำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็น ทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ ดังนั้น ที่ศาลล่างเชื่อว่าจำเลยนำเอาเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายไปจำนำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำความผิด และลงโทษจำเลยฐานรับของโจร จึงมิใช่เป็นการนำข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องหรือที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษมาลงโทษจำเลย
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับของโจรโดยช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียและรับไว้ซึ่งเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายนั้นเป็นการบรรยายความเห็นของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรเพราะเหตุใด มิใช่เป็นการบรรยายในส่วนของการกระทำของจำเลยที่ประสงค์จะให้นำไปพิจารณาว่า เป็นความผิดหรือไม่ ดังนั้นแม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าการจำนำเป็นการช่วยจำหน่าย ก็ไม่ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ ครบองค์ประกอบของความผิด
โจทก์ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เครื่องรับโทรทัศน์สีแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่ค่าไถ่ที่ผู้เสียหายเสียไป มิใช่ทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดฐานรับของโจรของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเพราะมิใช่เป็นการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำขอของโจทก์.
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับของโจรโดยช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียและรับไว้ซึ่งเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายนั้นเป็นการบรรยายความเห็นของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรเพราะเหตุใด มิใช่เป็นการบรรยายในส่วนของการกระทำของจำเลยที่ประสงค์จะให้นำไปพิจารณาว่า เป็นความผิดหรือไม่ ดังนั้นแม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าการจำนำเป็นการช่วยจำหน่าย ก็ไม่ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ ครบองค์ประกอบของความผิด
โจทก์ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เครื่องรับโทรทัศน์สีแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่ค่าไถ่ที่ผู้เสียหายเสียไป มิใช่ทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดฐานรับของโจรของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเพราะมิใช่เป็นการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำขอของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5702/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรและการพิพากษาให้ชดใช้ค่าไถ่ทรัพย์สินที่ถูกลัก
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษในฐานรับของโจรว่า จำเลยได้ครอบครองและนำเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายไปจำนำที่โรงรับจำนำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ ดังนั้น ที่ศาลล่างเชื่อว่าจำเลยนำเอาเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายไปจำนำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และลงโทษจำเลยฐานรับของโจร จึงมิใช่เป็นการนำข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องหรือที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษมาลงโทษจำเลย การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับของโจรโดยช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียและรับไว้ซึ่งเครื่องรับโทรทัศน์สีของผู้เสียหายนั้นเป็นการบรรยายความเห็นของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรเพราะเหตุใด มิใช่เป็นการบรรยายในส่วนของการกระทำของจำเลยที่ประสงค์จะให้นำไปพิจารณาว่า เป็นความผิดหรือไม่ ดังนั้นแม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าการจำนำเป็นการช่วยจำหน่าย ก็ไม่ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ ครบองค์ประกอบของความผิด โจทก์ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เครื่องรับโทรทัศน์สีแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่ค่าไถ่ที่ผู้เสียหายเสียไป มิใช่ทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดฐานรับของโจรของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเพราะมิใช่เป็นการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำขอของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5676/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำผิดในความผิดป่าสงวนฯ การครอบครองก่อนเป็นป่าสงวนฯ ถือไม่มีเจตนา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินแผ้วถาง ทำไม้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวจริง เป็นเวลา 33 ปีแล้ว โจทก์ไม่สืบพยาน ดังนี้คำให้การของจำเลยยังมีข้อต่อสู้อยู่ว่าจำเลยได้เข้าไปในที่ดินตามฟ้องก่อนที่ที่ดินดังกล่าวจะเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด ลงโทษจำเลยไม่ได้ ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5676/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาความผิดในความผิดป่าสงวน: การครอบครองก่อนประกาศเป็นป่าสงวนทำให้ไม่มีเจตนา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินแผ้วถาง ทำไม้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวจริง เป็นเวลา 33 ปีแล้ว โจทก์ไม่สืบพยาน ดังนี้คำให้การของจำเลยยังมีข้อต่อสู้อยู่ว่าจำเลยได้เข้าไปในที่ดินตามฟ้องก่อนที่ที่ดินดังกล่าวจะเป็นป่าสงวน แห่งชาติ การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด ลงโทษจำเลยไม่ได้
ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.