พบผลลัพธ์ทั้งหมด 385 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาว่าจ้างก่อนจดทะเบียนบริษัท การผูกพันนิติบุคคล และความรับผิดของผู้เริ่มก่อการ
ก่อนบริษัทจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล อ.ได้ตกลงให้โจทก์ออกแบบตกแต่งภายในให้บริษัทจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการและเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 นั่งร่วมปรึกษาหารือ ทั้งเมื่อโจทก์ได้ออกแบบตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นงานของจำเลยที่ 1 ตามความต้องการของ อ.และจำเลยที่ 2 อ.ก็ได้อนุมัติแบบตกแต่ง ถือว่า อ.และจำเลยที่ 2 ร่วมกันทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ออกแบบตกแต่งภายในสำนักงานสาขาของบริษัทจำเลยที่ 1และถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาว่าจ้างในฐานะเป็นผู้เริ่มก่อการของจำเลยที่ 1ทั้งก่อนหน้านั้นจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาเช่าอาคารเพื่อทำเป็นสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ยังไม่เป็นนิติบุคคล และต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็ได้ใช้สถานที่ซึ่งโจทก์ออกแบบตกแต่งภายในและควบคุมการก่อสร้างเป็นสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 1 แสดงว่าที่ประชุมตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันสัญญาว่าจ้างที่จำเลยที่ 1 ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้กับโจทก์ สัญญาว่าจ้างดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการและเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว จึงพ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 1113
โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 19สิงหาคม 2530 ตามหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 10 วัน นับแต่ได้รับหนังสือ ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 29 สิงหาคม 2530 เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 30สิงหาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น
โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 19สิงหาคม 2530 ตามหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 10 วัน นับแต่ได้รับหนังสือ ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 29 สิงหาคม 2530 เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 30สิงหาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน-ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่-ทำร้ายร่างกาย: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษ
เมื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย จำเลยกล่าวกับผู้เสียหายว่า เป็นนายจับอย่างไรก็ได้และเรียกทำเย็ดแม่ดังนี้ที่จำเลยกล่าวว่าเป็นนายจับอย่างไรก็ได้ เป็นเพียงคำกล่าวในทำนองตัดพ้อต่อว่า ไม่ได้กล่าวหาว่า ผู้เสียหายกลั่นแกล้งจึงไม่เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย แต่ที่จำเลยกล่าวว่า เรียกทำเย็ดแม่เป็นคำด่าอันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 เมื่อผู้เสียหายจับกุมจำเลยในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จำเลยดิ้นรนขัดขืนและชกหน้าผู้เสียหาย1 ครั้ง จนฟันผู้เสียหายหักและมีโลหิตไหลออกจากปาก จำเลยจึงมีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสองและทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: คำพูดตัดพ้อ vs. คำด่า
จำเลยจอดรถกีดขวางการจราจรและถูกผู้เสียหายซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ตำรวจจราจรทำการจับกุม จำเลยได้กล่าวต่อผู้เสียหายว่า เป็นนายจับอย่างไรก็ได้ และเรียกทำเย็ดแม่ ดังนี้ ที่จำเลยกล่าวว่า เป็นนายจับอย่างไรก็ได้เป็นเพียงคำกล่าวในทำนองตัดพ้อต่อว่า ไม่ได้กล่าวหาว่าผู้เสียหายกลั่นแกล้ง จึงไม่เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย แต่ที่จำเลยกล่าวว่า เรียกทำเย็ดแม่ เป็นคำด่าอันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 136
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาฐานหลบหนีการคุมขัง: อำนาจฟ้องของโจทก์และการสอบสวน
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานหลบหนีการคุมขังของพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหานี้และพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนจำเลยทั้งสองในข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลล่าง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินต่อเนื่องหลังการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ ไม่ถือเป็นการบุกรุก หากไม่มีการพ้นจากการครอบครอง
ที่ดินที่จำเลยใช้อยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแม้ต่อมาจะตกเป็นของโจทก์ร่วม และจำเลยยอมรับว่าจะไม่รบกวนการเข้าทำประโยชน์โดยยอมรับเงินจากโจทก์ร่วมเป็นการตอบแทน การที่จำเลยยังคงอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวรวมทั้งขัดขวางมิให้โจทก์ร่วมเข้าทำประโยชน์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้เท่านั้น เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าจำเลยพ้นจากการครอบครองที่ดินดังกล่าวไปอย่างเด็ดขาดแล้ว จึงกลับเข้าไปทำประโยชน์อีก การที่จำเลยเข้าไปปลูกต้นไม้จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องจากที่เคยทำ ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินต่อเนื่องหลังทำสัญญาไม่รบกวน ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่ความผิดฐานบุกรุก
แม้ในขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมจะเป็นเจ้าของที่ดินและจำเลยตกลงว่าจะไม่รบกวนการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยยอมรับเงินจำนวนหนึ่งไปจากโจทก์ร่วมเป็นค่าตอบแทนก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยเคยอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อน และยังไม่พ้นไปจากการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นการที่จำเลยเข้าไปปลูกต้นไม้รวมทั้งขัดขวางมิให้โจทก์ร่วมทำประโยชน์ในที่ดินในเวลาต่อมาถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจากที่เคยทำ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาเท่านั้น หาเป็นความผิดฐานบุกรุกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำประโยชน์ในที่ดินหลังยอมรับเงินชดเชย ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก หากยังไม่ได้พ้นจากการครอบครอง
ที่ดินที่จำเลยใช้อยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแม้ต่อมาจะตกเป็นของโจทก์ร่วม และจำเลยยอมรับว่าจะไม่รบกวนการเข้าทำประโยชน์โดยยอมรับเงินจากโจทก์ร่วมเป็นการตอบแทน การที่จำเลยยังคงอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวรวมทั้งขัดขวางมิให้โจทก์ร่วมเข้าทำประโยชน์ เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้เท่านั้นเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าจำเลยพ้นจากการครอบครองที่ดินดังกล่าวไปอย่างเด็ดขาดแล้ว จึงกลับเข้าไปทำประโยชน์อีก การที่จำเลยเข้าไปปลูกต้นไม้จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องจากที่เคยทำไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงชำระเงินส่วนหนึ่งของราคาที่ดินมีผลเหนือการอ้างว่าเป็นเงินมัดจำ
การที่สัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้งสองฉบับระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำนวนเงินที่จะชำระในวันที่ 25 พฤษภาคม 2530 หรือเลื่อนกำหนดไปชำระในวันที่ 17 สิงหาคม 2530 เป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินการที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินมัดจำจึงเป็นการขัดกับข้อความในสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทและการยึดหน่วงทรัพย์: การกระทำโดยไม่มีเจตนาทุจริตไม่ถือเป็นความผิดยักยอก
กรณียังมีการโต้แย้งกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทการที่จำเลยทั้งสองไม่คืนอุปกรณ์ให้โจทก์ร่วม เพราะมีหลักฐานเชื่อได้ว่าอุปกรณ์บางส่วนเป็นของ ม. และ ม. เป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยทั้งสองจะคืนให้ เมื่อโจทก์ร่วมใช้ค่าติดตั้งในการดำเนินกิจการเคเบิ้ลทีวีร่วมกันในนามของ ว. จึงเป็นการใช้สิทธิยึดหน่วงอย่างหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองขาดเจตนาทุจริตไม่มีความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีและการใช้กฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
การนำเช็คไปแลกเงินสดย่อมมีหนี้ในทางแพ่ง การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการนำเช็คไปแลกเงินสด จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 (3) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและตามมาตรา 4 (3) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534ยังคงบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด แต่อัตราโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 เบากว่าอัตราโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 อันเป็นกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด และกฎหมายที่ใช้ในภายหลังเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 (3) ลงโทษจำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3