พบผลลัพธ์ทั้งหมด 385 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้เจ้าหนี้ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ หากการโอนไม่เกี่ยวเนื่องกับหนี้ที่โจทก์ฟ้องร้อง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตน จำนวน 3 แปลงให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตน ตาม สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทได้ รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลนั้น เป็นเรื่องที่ให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม สัญญาจะซื้อขายเท่านั้นไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน 3 แปลงดังกล่าว ทนายโจทก์มีหนังสือถึง จำเลยที่ 1 เท้าความถึง กรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตาม กฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 350 หากหนี้เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดิน 1 แปลงจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ 1โอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตนจำนวน 3 แปลง ให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นให้จำเลยที่ 2 ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์นั้น เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายแก่โจทก์ตามสัญญาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน3 แปลงที่จำเลยที่ 1 โอนให้จำเลยที่ 2 ส่วนที่ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 และตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อนัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." นั้น หนังสือดังกล่าวก็ไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้เจ้าหนี้ ไม่ถือว่าเป็นการโกงเจ้าหนี้ หากหนี้เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดินเฉพาะแปลง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตน จำนวน 3 แปลงให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตน ตาม สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทได้ รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลนั้น เป็นเรื่องที่ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม สัญญาจะซื้อขายเท่านั้นไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน 3 แปลงดังกล่าว
ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันการกระทำผิดได้ แม้จะใช้กำลังตอบโต้
ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุร้ายขึ้นโดย ตบ หน้าจำเลยก่อน จำเลยไม่ได้สมัครใจต่อสู้ วิวาททำร้ายร่างกายกับผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยเข้ากอดปล้ำตบ ตี ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้ รับบาดเจ็บนั้น ย่อมถือ ได้ ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอถอนหลักประกันด้วยเจตนาทุจริต ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูก กล่าวหาเป็นผู้ประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ในระหว่าง การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกัน และรับหลักประกันคืนโดยอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 1ปี โทษจำรอในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันนั้นผู้ถูกกล่าวหามิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย อันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นความรับผิดตามสัญญาประกัน ฉะนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืน โดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทราบความจริงอยู่แล้วหาใช่ผู้ถูกกล่าวหาเขียนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับข้ออ้างขอถอนหลักประกันผิดพลาดไปแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาลจากคำร้องเท็จ ผู้ประกันภัยยื่นขอถอนหลักประกันโดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลยและเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนอ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอ ผู้ถูกกล่าวหาจึงหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันซึ่งเป็นความเท็จ โดยมิได้นำจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษานั้น เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาปรับบทให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอถอนหลักประกันคดีอาญา ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอน หลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอคืนหลักประกันการประกันตัว ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2111/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญา แม้มีการอ้างละเมิดก็ไม่ทำให้คู่สัญญาหลุดพ้นความรับผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 4จำนวน 402,000 บาท ตามสัญญาจ้างทำของท้ายฟ้อง และโจทก์ได้บรรยายฟ้องเรื่องละเมิดมาด้วย โดยอ้างว่าการกระทำที่ผิดสัญญาเกิดจากการประพฤติมิชอบของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 กลั่นแกล้งโจทก์เช่นนี้แม้ในเรื่องละเมิดโจทก์จะนำสืบฟังไม่ได้ ก็หาทำให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาไปด้วยไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2057/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุเฮโรอีนเข้าข่ายความผิดฐานผลิตยาเสพติด แม้เป็นการกระทำส่วนหนึ่งของการจำหน่าย
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ให้คำนิยาม คำว่า"ผลิต" ให้หมายความรวมตลอด ถึง การแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุด้วยการที่จำเลยที่ 1 เทเฮโรอีนจากหลอดใหญ่แบ่งใส่ห่อกระดาษเล็กแล้วเก็บเฮโรอีนขนาดเล็กทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกขนาด ใหญ่ ดังนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ แบ่งบรรจุอันเป็นการผลิตยาเสพติดให้โทษแล้ว.