พบผลลัพธ์ทั้งหมด 419 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินจากจดหมายและการผิดนัดชำระหนี้ พร้อมประเด็นภูมิลำเนาและอำนาจฟ้อง
แม้คำฟ้องของโจทก์จะกล่าวเพียงว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2522 และต่อมายืมเงินโจทก์ครั้งที่สองอีกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2522 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้กล่าวอ้างถึงเอกสารที่จำเลยติดต่อขอยืมเงินจากโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่8 กุมภาพันธ์ 2522 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522โดยส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารมาพร้อมกับคำฟ้องอันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้อง ในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานโดยขอระบุพยานอันดับ 2 และ 3 ว่า หลักฐานการกู้ยืมเงินจำนวน 130,000 บาทฉบับลงวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ 2522 และหลักฐานการกู้ยืมเงินจำนวน 50,000 บาท ฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 และวันที่1 มีนาคม 2522 และส่งอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ตามเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 เอกสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแต่ละฉบับดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวต่อเนื่องกัน ถือได้ว่าเป็นเอกสารฉบับเดียวศาลจึงรับฟังข้อความพยานเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ที่ปรากฏอยู่ทั้งหมดในแต่ละฉบับนั้นได้ ทั้งตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อ 2 ได้กำหนดไว้ว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือหรือไม่ ซึ่งตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 แต่ละฉบับก็มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จึงหาได้เป็นการที่โจทก์นำสืบนอกคำฟ้องและนอกประเด็นไม่ เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นจดหมายที่จำเลยมีถึงโจทก์และจำเลยได้บันทึกไว้ด้านหลังของจดหมายแต่ละฉบับนั้นว่า จำเลยได้รับเงินจำนวนที่ขอยืมในแต่ละฉบับนั้นไว้เป็นการถูกต้องแล้วพร้อมกับลงลายมือชื่อวันเดือนปีไว้ด้วย เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 อย่างหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในแต่ละฉบับนั้นโดยตรง อันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ ศาลจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ จำเลยได้ยื่นคำให้การพร้อมทั้งแต่งให้ตนเองเป็นทนายความตามคำรับเป็นทนายความก็ระบุว่า สำนักงานของจำเลยอยู่บ้านเลขที่173 ถนนราชสีมาแขวงดุสิตเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ฟังได้ว่าจำเลยใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ทำงานสำคัญ จึงถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลย แม้จำเลยจะระบุไว้ในคำให้การว่า อยู่บ้านเลขที่382 ถนนพรานนก แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งก็ตาม โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยตกลงจะคืนเงินที่ยืม130,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายใน 2 เดือน คือในวันที่ 9 เมษายน 2522เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันนั้น ส่วนเงินยืมอีก50,000 บาท ซึ่งไม่ได้กำหนดเวลาชำระคืนไว้ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถาม ซึ่งจำเลยได้รับแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 ครบกำหนดในวันที่ 13พฤศจิกายน 2529 จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2529 เป็นต้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่13 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากภริยาให้ฟ้องคดีจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทด้วยและจำเลยมิได้คัดค้านว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้นไม่ถูกต้อง แม้จำเลยได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ด้วย และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารการกู้ยืมเงินที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์: หลักฐานการกู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 653
เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นจดหมายที่จำเลยมีถึงโจทก์และจำเลยได้บันทึกไว้ด้านหลังของจดหมายแต่ละฉบับนั้นว่า จำเลยได้รับเงินจำนวนที่ขอยืมในแต่ละฉบับนั้นไว้เป็นการถูกต้องแล้วพร้อมกับลงลายมือชื่อ วันเดือนปีไว้ด้วย เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2จึงเป็นเพียงพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 653อย่างหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในแต่ละฉบับนั้นโดยตรงอันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ศาลจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร-ละเลยความรับผิดชอบ-สร้างความเสียหาย-ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปจากมารดาและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหากจำเลยมีเจตนาที่จะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภริยาจริง เมื่อผู้เสียหายตั้งครรภ์จำเลยก็น่าจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อถูกดำเนินคดีจำเลยก็มิได้มีความสำนึกในความรับผิดกลับต่อสู้คดีเบิกความถึงผู้เสียหายว่าเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่นมาแล้วถึงสองคนเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายมากขึ้น แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะอายุ 19 ปีเศษ และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่จำเลยเรียนหนังสือในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ย่อมจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยหาได้มีความสำนึกในความผิดของตนไม่กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานี สมควรให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์วางแผนหลบหนีหลังก่อเหตุเป็นหลักฐานสำคัญ
จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า แล้วขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ขับรออยู่ขับหลบหนีไป แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การวางแผนหลบหนีหลังก่อเหตุเป็นหลักฐานสำคัญ
จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า แล้วขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ขับรออยู่ขับหลบหนีไป เป็นการวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์วางแผนหลบหนีบ่งชี้เจตนา
จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า แล้วขึ้นซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ที่มีผู้ขับรออยู่ขับหลบหนีไป แสดงให้เห็นว่า มีการวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงมี ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๔)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร้องคดีอาญาของผู้ครอบครองทรัพย์สิน & การใช้หลักฐานนอกสำนวน
ในขณะเกิดเหตุแม้โจทก์ร่วมจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกจำเลยลักไป เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครองโจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3(1)(2) เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญาจะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้นศาลย่อมรับฟังบันทึกคำรับสารภาพ แผนที่บ้านจำเลยและภาพถ่ายประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ตาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นผู้เสียหายและการรับฟังพยานนอกสำนวนคดีอาญา
โจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์มาจากผู้อื่น ขณะรถยนต์ถูกลักกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนเป็นของโจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถยนต์อยู่ เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3(1)(2) ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญาจะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ศาลจึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพ แผนที่บ้านจำเลยและภาพถ่ายที่พนักงานอัยการโจทก์ส่งศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น เพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ครอบครองทรัพย์สินในการเป็นผู้เสียหาย, พยานหลักฐานนอกสำนวนสอบสวน, การลดโทษตามเหตุผล
โจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกจำเลยลักไปมาจากผู้อื่นแม้ว่าขณะเกิดเหตุกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนมาเป็นของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อถูกจำเลยแบ่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญาจะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพแผนที่บ้านจำเลย และภาพถ่ายประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างต่อลูกจ้าง การพิสูจน์การกระทำในทางการที่จ้างเป็นประเด็นสำคัญ หากไม่มีประเด็นนี้ฎีกาจึงนอกประเด็น
เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสามจะเป็นบิดามารดาผู้ปกครองเด็กทั้งสามที่บาดเจ็บหรือไม่ ไม่รับรอง และจำเลยที่ 2 มิได้ประมาท ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่ว่าโจทก์จะต้องนำสืบให้ชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น จึงเป็นฎีกานอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้