พบผลลัพธ์ทั้งหมด 419 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตค่าเสียหายจากการละเมิด: การประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซ่อมแซมและผลกระทบจากอุบัติเหตุ
จำเลยขับรถยนต์ประมาทตัดหน้ารถไฟโจทก์เป็นเหตุให้รถไฟโจทก์ชนและเสียหายค่าใช้จ่ายในโรงงานที่โจทก์คิดเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ105.5 ของค่าแรง 1 หน่วย และค่าควบคุมอัตราร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโรงงาน และค่าที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนเหตุที่เกิดละเมิด แม้พนักงานของโจทก์อ้างว่าเป็นระเบียบของโจทก์ให้ถือปฏิบัติโดยนำวิธีการคำนวณมาจากสถิติก็ตาม ถือไม่ได้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งสองส่วนดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นผลจากการทำละเมิด ค่ายกรถตกรางซึ่งโจทก์คิดเป็นค่าโอเวอร์เฮดชาร์จ ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมเพิ่มขึ้นมานั้น สำหรับค่าโอเวอร์เฮดชาร์จ กับค่าควบคุมซึ่งคิดในอัตราร้อยละ 51 และร้อยละ 25 ของค่าแรงยกรถตามลำดับ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการซ่อมอย่างไร และมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิดส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงาน โจทก์มิได้นำสืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน ค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายซึ่งโจทก์เพิ่มค่าควบคุมเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20 สำหรับรถโดยสารและในอัตราร้อยละ 15 สำหรับรถสินค้า พนักงานของโจทก์อ้างว่าคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิดเช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการชนรถไฟ: การประเมินค่าเสียหายที่สมเหตุสมผลและการแบ่งความรับผิด
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและได้นำเข้าไปร่วมในกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ซึ่งจดทะเบียนประกอบการขนส่งไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ในการขับรถยนต์บรรทุกได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ 2ด้วยความประมาทชนกับรถไฟของโจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นนายจ้างร่วมกันของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุ โจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าแรงและค่าของที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงในการซ่อมดังกล่าวส่วนค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในโรงงาน ซึ่งมีค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเชื้อเพลิง ค่าเครื่องจักรทำงาน ค่าเสื่อมราคากับค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรและค่าควบคุมซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุละเมิดขึ้นนั้น โจทก์คิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวมาจากสถิติตามระเบียบของการรถไฟปี พ.ศ. 2525 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการคิดมาจากผลการทำละเมิด โจทก์ย่อมไม่สามารถเอาค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการนี้มารวมกับค่าแรงและค่าของเพื่อคิดเป็นค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุได้สำหรับค่าเสียหายด้านการโดยสารนั้น เนื่องจากเหตุที่รถไฟตกรางทำให้การเดินรถต้องหยุดชะงักเป็นเหตุให้โจทก์ขาดรายได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่โจทก์คำนวณค่าเสียหายดังกล่าวจากสถิติการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลายขบวนที่โจทก์เคยได้รับค่าโดยสารมาถัวเฉลี่ย มิใช่รายได้ที่โจทก์ขาดไปจริง ศาลจึงมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสม นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมทางของฝ่ายการช่างโยธาทั้งค่าแรงและค่าของ ค่าแรงในการยกรถตกราง และค่าลากจูงรถไฟคันเกิดเหตุตามจำนวนที่ได้ใช้จ่ายไปจริง แต่ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการยกรถตกราง ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าค่าโอเวอร์เฮดชาร์จกับค่าควบคุมซึ่งโจทก์คิดในอัตราร้อยละ51 และ 25 ของค่าแรงยกรถนั้นเกี่ยวข้องกับการซ่อมรายนี้อย่างไรและมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานโจทก์มิได้สืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสาม สำหรับค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายที่โจทก์ต้องจัดขบวนรถไฟพิเศษไปจัดการเปิดทางนั้น โจทก์ได้คำนวณเพิ่มค่าควบคุมรถโดยสารในอัตราร้อยละ 20 รถสินค้าในอัตราร้อยละ 15 ไว้ด้วย โดยคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ ค่าควบคุมส่วนที่คำนวณเพิ่มขึ้นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาคดีสัญญาภาระจำยอม แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยังสามารถสั่งอายัดที่ดินได้หากมีเหตุสมควร
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้อายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาก็เพื่อจะได้ความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา หรือเพื่อสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่า สัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกไปแล้วและพิพากษายกฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ เพราะศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรก็ชอบที่จะสั่งอายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวได้
เมื่อตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและคำคัดค้าน ข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้น มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 (1) และ (2) แล้ว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อนแต่อย่างใด
เมื่อตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและคำคัดค้าน ข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้น มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 (1) และ (2) แล้ว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อนแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ สัญญาภาระจำยอมยังไม่ยุติ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์โจทก์ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกกันไปแล้วไม่อาจใช้บังคับกันได้อีกต่อไป แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังคงบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ทั้งปรากฏตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้อง และคำร้องคัดค้านว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องนั้นมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินที่ที่พิพาทตั้งอยู่ห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทเฉพาะส่วนตามสัญญาภารจำยอมไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจสั่งอายัดทรัพย์ได้ แม้ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้อายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาก็เพื่อจะได้ความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา หรือเพื่อสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกไปแล้วและพิพากษายกฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ เพราะศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรก็ชอบที่จะสั่งอายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวได้ เมื่อตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและคำคัดค้านข้อเท็จจริงรับกันได้ความว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้น มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ ซึ่งได้ความครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อนแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6301/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาพลามกอนาจาร: การพิจารณาเจตนาและลักษณะภาพเพื่อความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ภาพพิมพ์ของกลางเป็นภาพหญิงสาวซึ่งมีบางภาพเปิดเผยเต้านมอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนที่อวัยวะเพศแม้จะมีผ้าอาภรณ์ปกปิดไว้ แต่ก็ปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งนอกจากจะอยู่ในอิริยาบทที่ไม่เรียบร้อยไม่น่าดูแล้ว ยังอยู่ในอิริยาบทที่น่าเกลียดน่าบัดสีอีกด้วยกล่าวคือ มีบางภาพอยู่ในอิริยาบทนอนก็นอนหงายถ่างขาออกอย่างกว้างทำนองเจตนาเพื่ออวดอวัยวะเพศอย่างเด่นชัด ส่วนภาพที่อยู่ในอิริยาบทนั่งก็นั่งถ่างขาออกแม้จะมีผ้าปกปิดอวัยวะเพศก็เป็นผ้าบางใส ซึ่งแสดงว่าต้องการอวดอวัยวะเพศเช่นเดียวกับภาพในอิริยาบทนอนดังกล่าว จึงเป็นภาพที่มีเจตนายั่วยุให้บังเกิดความใคร่ทางกามารมณ์โดยตรง ถือเป็นภาพลามกตามความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1).
การบังคับค่าปรับเอาแก่นิติบุคคลนั้น จะกักขังแทนค่าปรับไม่ได้.
การบังคับค่าปรับเอาแก่นิติบุคคลนั้น จะกักขังแทนค่าปรับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6301/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาพลามกอนาจาร เจตนายั่วยุทางเพศ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287
ภาพพิมพ์ของกลางเป็นภาพหญิงสาวซึ่งมีบางภาพเปิดเผยเต้านมอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนที่อวัยวะเพศแม้จะมีผ้าอาภรณ์ปกปิดไว้ แต่ก็ปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งนอกจากจะอยู่ในอิริยาบทที่ไม่เรียบร้อยไม่น่าดูแล้ว ยังอยู่ในอิริยาบทที่น่าเกลียดน่าบัดสีอีกด้วยกล่าวคือ มีบางภาพอยู่ในอิริยาบทนอนก็นอนหงายถ่างขาออกอย่างกว้างทำนองเจตนาเพื่ออวดอวัยวะเพศอย่างเด่นชัด ส่วนภาพที่อยู่ในอิริยาบทนั่งก็นั่งถ่างขาออกแม้จะมีผ้าปกปิดอวัยวะเพศก็เป็นผ้าบางใส ซึ่งแสดงว่าต้องการอวดอวัยวะเพศเช่นเดียวกับภาพในอิริยาบทนอนดังกล่าว จึงเป็นภาพที่มีเจตนายั่วยุให้บังเกิดความใคร่ทางกามารมณ์โดยตรง ถือเป็นภาพลามกตามความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1). การบังคับค่าปรับเอาแก่นิติบุคคลนั้น จะกักขังแทนค่าปรับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6301/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาพลามกมีเจตนายั่วยุทางเพศ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287
ภาพพิมพ์ของกลางเป็นภาพหญิงสาว ซึ่งมีบางภาพเปิดเผยเต้านมอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนที่อวัยวะเพศแม้จะมีผ้าอาภรณ์ ปกปิดไว้ แต่ก็ปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งนอกจากจะอยู่ในอิริยาบท ที่ไม่เรียบร้อยไม่น่าดู แล้ว ยังอยู่ในอิริยาบท ที่น่าเกลียดน่าบัดสีอีกด้วยกล่าวคือ มีบางภาพอยู่ในอิริยาบทนอนก็นอนหงายถ่าง ขาออกอย่างกว้าง ทำนองเจตนาเพื่ออวด อวัยวะเพศอย่างเด่นชัด ส่วนภาพที่อยู่ในอิริยาบทนั่งก็นั่งถ่าง ขาออก แม้จะมีผ้าปกปิดอวัยวะเพศก็เป็นผ้าบางใส ซึ่งแสดงว่าต้องการอวด อวัยวะเพศเช่นเดียวกัน จึงเป็นภาพที่มีเจตนายั่วยุให้บังเกิดความใคร่ทางกามารมณ์โดยตรง ถือเป็นภาพลามกตามความหมายที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 287(1). การบังคับค่าปรับเอาแก่นิติบุคคลนั้น จะกักขังแทนค่าปรับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สิน - การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ - สิทธิในการฟ้องคดี - การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่นำไปฝากไว้กับผู้อื่น: สิทธิในการฟ้องคดีและการใช้สิทธิโดยสุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย
เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต