คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อหาขับรถประมาทจนถึงแก่ความตาย และการโต้แย้งข้อเท็จจริงหลังรับสารภาพ
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพิ่มเติมมาท้ายฎีกาด้วยว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขับโดยประมาทของจำเลยโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2534 และแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แล้วแก่จำเลย และจำเลยได้ทราบข้อหาแล้วปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมลงวันที่ 15 มกราคม 2534กรณีจึงมีเหตุอันควร โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยจะฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัวมิใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ตายเองหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้แล้วทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องคดีอาญาจากประมาททำให้บาดเจ็บสาหัสเป็นประมาททำให้ถึงแก่ความตาย ศาลอนุญาตได้หากมีเหตุอันควร
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีการสอบสวนเพิ่มเติมและแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แก่จำเลยแล้วจึงมีเหตุอันควรที่โจทก์จะขอแก้ไขเพิ่มเติมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อหาขับรถประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย และการรับสารภาพที่ผูกพันตามกฎหมาย
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพิ่มเติมมาท้ายฎีกาด้วยว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขับโดยประมาทของจำเลย โจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2534 และแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แล้วแก่จำเลย และจำเลยได้ทราบข้อหาแล้วปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมลงวันที่ 15 มกราคม 2534 กรณีจึงมีเหตุอันควร โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นแล้วจำเลยจะฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัว มิใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ตายเองหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้แล้ว ทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1744/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ไม่ใช่ 'พนักงาน' ตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานฯ จึงไม่อาจลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานสงเคราะห์ตำแหน่งพนักงานสงเคราะห์ยางจังหวัดสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 ได้ยักยอกปุ๋ยของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ซึ่งอยู่ในอำนาจจัดการดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของจำเลย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2502 มาตรา 4 แต่ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "พนักงาน" ไว้หมายถึง บุคคลต่าง ๆตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้นอกจากผู้เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมายเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 จำเลยย่อมเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมายจึงไม่เป็นพนักงานตามความหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2502 ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1744/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงาน vs. พนักงาน: การพิจารณาความผิดตาม พ.ร.บ.พนักงานรัฐ การตีความคำว่า 'พนักงาน' ที่จำกัดเฉพาะผู้ไม่อยู่ในฐานะเจ้าพนักงาน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานสงเคราะห์ตามพ.ร.บ. กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางฯ จำเลยย่อมเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ มาตรา 4 เพียงอย่างเดียวซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับหลังนี้ให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "พนักงาน" หมายถึงบุคคลต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้นอกจากผู้เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมาย เมื่อจำเลยเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมายจำเลยจึงไม่เป็นพนักงานตามความหมายของ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามฟ้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1744/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดความ 'พนักงาน' ในความผิดของพนักงานรัฐ: เจ้าพนักงานไม่อยู่ในข่าย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานสงเคราะห์ตำแหน่งพนักงานสงเคราะห์ยางจังหวัด สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางพ.ศ. 2503 ได้ยักยอกปุ๋ยของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางซึ่งอยู่ในอำนาจจัดการดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของจำเลย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 เพียงอย่างเดียว แต่ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "พนักงาน" ไว้หมายถึง บุคคลต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ทั้งนี้นอกจากผู้เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมาย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 จำเลยย่อมเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมาย จึงไม่เป็นพนักงานตามความหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ดังนั้นจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง เป็นเหตุไม่รับพิจารณาฎีกา
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยไม่ได้กล่าวในคำร้องว่าผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นหนังสือปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ การที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่า ก่อนที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นหนังสือปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือยืนยันให้ผู้ร้องทั้งสองชำระหนี้อันเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ล้มละลายฯมาตรา 119 แล้วนั้นเป็นฎีกากล่าวอ้างข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง ถือได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกากล่าวอ้างดังกล่าว เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 153.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการคิดดอกเบี้ยตามคำฟ้อง: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้คิดดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่ฟ้องร้อง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอคิดดอกเบี้ยจากจำเลยถึงวันฟ้องเพียง 5 ปีมิได้คิดเป็นเวลา 5 ปี 7 เดือนตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระให้โจทก์ปัญหานี้แม้ว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไว้ ซึ่งถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 โจทก์ฟ้องขอเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยถึงวันฟ้องเพียง 5 ปีเป็นเงิน 90,000 บาท แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับจากวันที่ 1 เมษายน 2535 จนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาเกินกว่า5 ปีนั้น เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากประเด็นที่ยกขึ้นในชั้นฎีกา ไม่เคยถูกวินิจฉัยในศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ที่โจทก์ฎีกาว่า ปลัดอำเภอไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง เจ้ามรดกไม่มีเจตนาทำพินัยกรรม พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะนั้น แม้โจทก์จะได้เคยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ซึ่งมีผลเท่ากับ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1521/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คแลกเงินสดไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฉบับใหม่ หากไม่ใช่การชำระหนี้เดิม
จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วแลกเงินสดไปจากโจทก์ การออกเช็คแลกเงินสดดังกล่าวย่อมเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 แต่การกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันจะเป็นความผิดได้ตามนัยแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังที่จำเลยออกเช็คแลกเงินสด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง.
of 200