พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5095-5099/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ: ค่าจ้าง, ค่าตำแหน่ง, ค่าครองชีพ, ระยะเวลาทดลองงาน และเงินสวัสดิการ
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยมิได้กำหนดคำนิยามของคำว่า "ค่าจ้าง"และ"ค่าแรง" ไว้ นอกจากนี้ในข้อบังคับดังกล่าวใช้คำว่าค่าจ้างและค่าแรง ปะปนกันไม่แน่นอน เป็นต้นว่า ข้อ 4.3 การเข้าทำงานสายจะถูกตัดค่าแรงลงตามส่วน แต่ในข้อ 4.4 ในวันหยุดตามประเพณีพนักงานมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับวันทำงานตามปกติและในข้อ 5 เกี่ยวกับเรื่อง การทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด และการจ่ายค่าแรง ก็ระบุไว้ในข้อ 5.1 ว่า พนักงานทำงานเกินเวลาปกติจะได้รับค่าล่วงเวลาหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในการทำงานตามปกติสำหรับเวลาที่ทำงานเกิน ดังนี้ค่าแรงก็คือค่าจ้างที่เอามาเฉลี่ยคิดให้เป็นวันหรือชั่วโมงนั่นเอง การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าค่าแรง ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมายถึงค่าจ้างจึงชอบแล้ว
เงินค่าตำแหน่งและค่าครองชีพที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิได้รับเป็นการประจำและมีจำนวนแน่นอนจึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
เงินค่าที่พักที่จำเลยจ่ายช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่มีที่พักเป็นของตนเอง ลูกจ้างที่มีที่พักแล้วจะไม่มีสิทธิได้รับเงินประเภทนี้ เงินค่าที่พักดังกล่าวจึงเป็นเพียงเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หาใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานไม่
เมื่อตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่มีข้อยกเว้นมิให้นับระยะเวลาการทดลองงานรวมเข้ากับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ หากจำเลยไม่ต้องการให้นับระยะเวลาทดลองงานดังกล่าวรวมเข้าด้วย จำเลยก็น่าจะระบุไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวให้ชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยสามารถจะทำได้อีกประการหนึ่งเมื่อจำเลยออกใบผ่านงานให้โจทก์ที่ 3 จำเลยก็ระบุว่าโจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันแรกที่โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานทดลองงานกับจำเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องถือว่าระยะเวลาทดลองงานเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาทำงานที่ต้องนำมารวมคำนวณเงินตอบแทนพิเศษสำหรับโจทก์ที่ 3 ด้วย
เงินค่าตำแหน่งและค่าครองชีพที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิได้รับเป็นการประจำและมีจำนวนแน่นอนจึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
เงินค่าที่พักที่จำเลยจ่ายช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่มีที่พักเป็นของตนเอง ลูกจ้างที่มีที่พักแล้วจะไม่มีสิทธิได้รับเงินประเภทนี้ เงินค่าที่พักดังกล่าวจึงเป็นเพียงเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หาใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานไม่
เมื่อตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่มีข้อยกเว้นมิให้นับระยะเวลาการทดลองงานรวมเข้ากับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ หากจำเลยไม่ต้องการให้นับระยะเวลาทดลองงานดังกล่าวรวมเข้าด้วย จำเลยก็น่าจะระบุไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวให้ชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยสามารถจะทำได้อีกประการหนึ่งเมื่อจำเลยออกใบผ่านงานให้โจทก์ที่ 3 จำเลยก็ระบุว่าโจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันแรกที่โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานทดลองงานกับจำเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องถือว่าระยะเวลาทดลองงานเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาทำงานที่ต้องนำมารวมคำนวณเงินตอบแทนพิเศษสำหรับโจทก์ที่ 3 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5095-5099/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ, ค่าจ้าง, ค่าตำแหน่ง, ค่าครองชีพ, ระยะเวลาทำงาน
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตกลงจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานของจำเลยที่ทำงานเกิน5ปีหรือเกิน10ปีขึ้นไปเท่ากับ50วันหรือ300วันของค่าแรงอัตราสุดท้ายในขณะลาออกแต่ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานมิได้กำหนดนิยามคำว่า"ค่าจ้าง"และ"ค่าแรง"ไว้ดังนั้นค่าแรงก็คือค่าจ้างที่เอามาเฉลี่ยคิดให้เป็นวันหรือชั่วโมงและต้องนำเงินทั้งหมดที่ถือว่าเป็นค่าจ้างมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษส่วนเงินค่าตำแหน่งและค่าครองชีพเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของการทำงานเงินทั้ง2ประเภทถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยจึงต้องนำมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษด้วยส่วนเงินค่าที่พักเป็นเงินช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่มีที่พักเป็นของตนเองลูกจ้างที่มีที่พักแล้วไม่มีสิทธิได้รับจึงเป็นเพียงเงินสวัสดิการหาใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติไม่จึงไม่ใช่ค่าจ้างไม่อาจนำมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษได้และตามข้อบังคับการทำงานของจำเลยไม่มีข้อยกเว้นมิให้นับระยะเวลาการทดลองงานรวมเข้ากับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุหากไม่ต้องการให้นับระยะเวลาทดลองงานรวมเข้าด้วยจำเลยน่าจะระบุไว้ให้ชัดแจ้งเมื่อไม่ระบุจึงถือว่าระยะเวลาทดลองงานเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาทำงานที่ต้องนำมารวมคำนวณเงินตอบแทนพิเศษด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5007/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากข้อกล่าวหาไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องเดิม
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยคดีมีประเด็นว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายและมีหน้าที่จะต้องชำระค่าซื้อเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์การผลิตซอสน้ำจิ้มไก่และชำระค่าซอสน้ำจิ้มไก่ที่สั่งซื้อจากโจทก์ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์และ ต. ได้ร่วมทุนกับ ค.ในบริษัทจำเลยแล้วโจทก์ลักลอบน้ำเอาซอสน้ำจิ้มไก่ไปขายให้แก่บริษัท ข. ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและโจทก์กับคนของโจทก์ที่เป็นกรรมการของจำเลยได้สั่งให้พนักงานของจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์โดยไม่ชอบ รวมทั้งโจทก์และคนของโจทก์ได้เบิกเงินทดรองจ่ายโดยไม่เป็นความจริงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายให้จำเลย เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์ผิดสัญญาร่วมลงทุนและละเมิดและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเกิดจากมูลละเมิด ซึ่งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4989/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายและพยานหลักฐานการกระทำผิด ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นเลยว่าจำเลยที่1และที่2ได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนการที่ค้นพบเฮโรอีน2ถุงเล็กๆน้ำหนักเพียง1.3กรัมซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ของกลางจะฟังว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4909/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันครอบคลุมความเสียหายในอนาคตจากการทำงานของลูกจ้าง และการผูกพันสัญญาค้ำประกันก่อนเริ่มงาน
ตามสัญญาค้ำประกันข้อที่ว่าผู้ค้ำประกันตกลงยอมรับผิดร่วมกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ให้แก่บริษัทในการที่บริษัทจะได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดอันอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกจ้างในการปฏิบัติตามหน้าที่การงานทั้งปวงนั้นเห็นได้ชัดว่าความเสียหายที่จำเลยที่2ผู้ค้ำประกันที่เข้าทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นความเสียหายที่จะพึงเกิดขึ้นในอนาคตหาใช้ความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วไม่ส่วนสัญญาค้ำประกันข้อที่ว่าการที่บริษัทยังคงให้ลูกจ้างทำงานต่อไปแม้เมื่อลูกจ้างได้ทำผิดหน้าที่และเกิดความรับผิดขึ้นแล้วก็ดีหาทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่นั้นหมายความว่าถ้าจำเลยที่1ผู้เป็นลูกจ้างทำความเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่2ค้ำประกันอยู่แต่โจทก์ยังคงให้จำเลยที่1ทำงานต่อไปหรือไม่ได้บังคับเอาค่าเสียหายจำเลยที่2ผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ยังไม่พ้นจากความรับผิดหาได้มีความหมายว่าจำเลยที่2จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายย้อนหลังไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาค้ำประกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4909/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันความเสียหายจากการทำงานของลูกจ้าง: ความรับผิดในอนาคตและขอบเขต
ตามสัญญาค้ำประกันข้อ 2 ที่ว่า ผู้ค้ำประกันตกลงยอมรับผิดร่วมกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ให้แก่บริษัท ในการที่บริษัทจะได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด อันอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกจ้างในการปฏิบัติตามหน้าที่การงานทั้งปวงนั้น เห็นได้ชัดว่าความเสียหายที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นความเสียหายที่จะพึงเกิดขึ้นในอนาคต หาใช่ความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วไม่
ส่วนสัญญาค้ำประกัน ข้อ 3 ที่ว่า การที่บริษัทยังคงให้ลูกจ้างทำงานต่อไป แม้เมื่อลูกจ้างได้ทำผิดหน้าที่และเกิดความรับผิดขึ้นแล้วก็ดีหาทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่นั้นหมายความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างทำความเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันอยู่ แต่โจทก์ยังคงให้จำเลยที่ 1 ทำงานต่อไปหรือไม่ได้บังคับเอาค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ ยังไม่พ้นจากความรับผิด หาได้มีความหมายว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายย้อนหลังไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาค้ำประกันไม่
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน2535 เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข้าทำงานกับโจทก์ และต่อมาโจทก์ก็ได้ตกลงจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2535 ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ประกันหนี้ในอนาคต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 681 วรรคสอง สัญญาค้ำประกันจึงผูกพันจำเลยที่ 3เมื่อจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างโจทก์นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 ถึงเดือนกันยายน 2537 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
ส่วนสัญญาค้ำประกัน ข้อ 3 ที่ว่า การที่บริษัทยังคงให้ลูกจ้างทำงานต่อไป แม้เมื่อลูกจ้างได้ทำผิดหน้าที่และเกิดความรับผิดขึ้นแล้วก็ดีหาทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่นั้นหมายความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างทำความเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันอยู่ แต่โจทก์ยังคงให้จำเลยที่ 1 ทำงานต่อไปหรือไม่ได้บังคับเอาค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ ยังไม่พ้นจากความรับผิด หาได้มีความหมายว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายย้อนหลังไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาค้ำประกันไม่
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน2535 เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข้าทำงานกับโจทก์ และต่อมาโจทก์ก็ได้ตกลงจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2535 ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ประกันหนี้ในอนาคต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 681 วรรคสอง สัญญาค้ำประกันจึงผูกพันจำเลยที่ 3เมื่อจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างโจทก์นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 ถึงเดือนกันยายน 2537 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4879/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายระหว่างพี่น้อง ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรงจนถึงขั้นเพิกถอนการให้
จำเลยเป็นน้องสาวโจทก์ก่อนที่จำเลยจะด่าว่าโจทก์โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องที่จำเลยจะขายที่ดินพิพาทแต่โจทก์ไม่ยอมให้ขายการที่จำเลยด่าโจทก์ว่าอีเหี้ยอีสัตว์อีดอกทองและไอ้หมาเป็นเพียงคำหยาบคายดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทโจทก์เท่านั้นยังไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นการประพฤติเนรคุณอันโจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4879/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำด่าว่าที่ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง ไม่ถือเป็นเนรคุณจนถึงขั้นถอนคืนการให้
จำเลยเป็นน้องสาวโจทก์ ก่อนที่จำเลยจะด่าว่าโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องที่จำเลยจะขายที่ดินพิพาท แต่โจทก์ไม่ยอมให้ขายการที่จำเลยด่าโจทก์ว่า อีเหี้ย อีสัตว์ อีดอกทอง และไอ้หมา เป็นเพียงคำหยาบคายดูถูกเหยียดหยาม และสบประมาทโจทก์เท่านั้น ยังไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นการประพฤติเนรคุณอันโจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4853/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใส่ความทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงทางหนังสือพิมพ์ จำเลยอ้างไม่ได้ว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
จำเลยในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ลงพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ว่า"ผู้ที่ไปรายงานให้อุปทูตซาอุดีอาระเบียทราบมีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบไปขายเพื่อนให้กับอุปทูต"และข้อความว่า"สาเหตุที่พันตำรวจเอกคนนั้นแอบไปสารภาพไถ่บาปกับอุปทูตเพื่อสร้างความดีความชอบให้กับตนเองพันตำรวจโทสมคิดรู้เต็มอกว่าเพื่อนนายตำรวจในทีมคนไหนแอบใช้มีดปักหลังเพื่อน"กับข้อความว่า"และต่อมานายโมจาเอ็ดเออัลโนไวเซอร์อุปทูตซาอุฯได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษพ.ต.ท.สมคิดบุญถนอม ว่าเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวลึกลับของนายโมฮัมเหม็ดอัลรูไวรี่นักธุรกิจชาวซาอุฯโดยอ้างจากคำบันทึกของพ.ต.อ.เทพรัตน์รัตนวานิช ว่าเป็นผู้รายงานให้ทราบ"ข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการใส่ความว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีโดยนำเรื่องไปบอกอุปทูตซาอุดีอาระเบียเป็นคนขายเพื่อนเพื่อหาความดีให้ตนจึงเป็นกรณีน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่าจำเลยไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยซึ่งมีวิชาชีพของหนังสือพิมพ์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4853/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การลงข้อความใส่ความโจทก์โดยไม่ตรวจสอบความจริง
จำเลยในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ลงพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ว่า "ผู้ที่ไปรายงานให้อุปทูตซาอุดีอาระเบียทราบมีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบไปขายเพื่อนให้กับอุปทูต..." และข้อความว่า "...สาเหตุที่พันตำรวจเอกคนนั้นแอบไปสารภาพไถ่บาปกับอุปทูตเพื่อสร้างความดีความชอบให้กับตนเอง พันตำรวจโทสมคิดรู้เต็มอกว่า เพื่อนนายตำรวจในทีมคนไหนแอบใช้มีดปักหลังเพื่อน..." กับข้อความว่า "...และต่อมานายโมจาเอ็ด เอ อัลโนไวเซอร์ อุปทูตซาอุ ฯ ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.สมคิด บุญถนอมว่าเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวลึกลับของนายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุ ฯ โดยอ้างจากคำบันทึกของ พ.ต.อ.เทพรัตน์ รัตนวานิช ว่าเป็นผู้รายงานให้ทราบ..." ข้อความดังกล่าว มีลักษณะเป็นการใส่ความว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี โดยนำเรื่องไปบอกอุปทูตซาอุดีอาระเบีย เป็นคนขายเพื่อนเพื่อหาความดีให้ตน จึงเป็นกรณีน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่า จำเลยไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ฉะนั้น จำเลยจะอ้างว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยซึ่งมีวิชาชีพของหนังสือพิมพ์ไม่ได้