คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการละเมิดต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณ
ศูนย์ประสานงานทหารกองหนุนแห่งชาติ(ศูนย์กนช.กอ.รมน.)ยินยอมให้จำเลยที่1นำชื่อกลุ่มสมาชิกกนช.มัคคุเทศก์และเครื่องหมายราชการไปใช้ได้ในขณะเปิดที่ทำการของจำเลยที่1ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ดังนี้การกระทำของจำเลยทั้งสองขณะนั้นจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองนำชื่อดังกล่าวไปใช้ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ย่อมยกเลิกความยินยอมนั้นเสียเมื่อใดก็ได้เมื่อโจทก์ยกเลิกแล้วจำเลยทั้งสองก็ไม่อาจจะใช้ชื่อและเครื่องหมายดังกล่าวได้อีกต่อไปดังนี้การที่โจทก์บอกให้จำเลยทั้งสองยกเลิกเพิกถอนการใช้ชื่อและเครื่องหมายราชการของโจทก์แล้วแต่จำเลยทั้งสองยังคงใช้ชื่อ"กลุ่มสมาชิกกนช."เป็นชื่อของจำเลยที1และยังคงนำเอาเครื่องหมายราชการรูปคันไถเปลวเพลิงดาบปลายปืนล้อมรอบด้วยสามเหลี่ยมและวงกลมของศูนย์กนช.กอ.รมน.ดังกล่าวซึ่งเป็นของโจทก์ไปติดไว้ที่ป้ายชื่อที่ทำการของจำเลยที่1ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ต่อไปอีกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ย่อมเป็นการแอบอ้างอาศัยชื่อหน่วยงานของโจทก์ไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในกิจการของตนและเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงเพื่อหลอกลวงประชาชนทั่วไปและหน่วยราชการต่างๆให้เกิดความเข้าใจผิดว่าศูนย์ดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนราชการของโจทก์มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการค้าด้านธุรกิจการท่องเที่ยวของจำเลยที่1เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา423 โจทก์เป็นส่วนราชการมิได้มีวัตถุประสงค์ในทางการค้าโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวอย่างไรก็ดีเมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์เสียหายศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา438แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลังจากที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองยกเลิกเพิกถอนการใช้ชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดกลุ่มสมาชิกกนช.มัคคุเทศก์และเครื่องหมายราชการของโจทก์แล้วจำเลยทั้งสองก็ยังคงใช้ชื่อและเครื่องหมายราชการดังกล่าวโดยนำไปติดไว้ที่ป้ายชื่อที่ทำการของจำเลยที่1ต่อมาโจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลาแม้ขณะยื่นคำฟ้องการกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมเป็นการละเมิดต่อเนื่องกันตลอดมาคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ การละเมิดชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นบทบัญญัติมาตรา423และ447แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันเกิดแต่การนั้นและศาลอาจสั่งให้ผู้กระทำละเมิดจัดการตามควรเพื่อให้ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีเท่านั้นที่โจทก์ขอให้เพิกถอนทะเบียนชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่1เป็นกรณีที่บทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิได้ให้ความคุ้มครองไว้ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ถอนคำขอดังกล่าวได้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนทะเบียนชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดกลุ่มสมาชิกกนช.มัคคุเทศก์จำเลยที่1และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงไม่ชอบศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของที่ดินมีสิทธิใช้ทาง แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น การถมดินทำให้เสียหายถือเป็นการละเมิด
บริษัทพ. ซึ่งโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาได้สร้างถนนพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3และที่4ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนนฉะนั้นจึงถือได้ว่าถนนพิพาทเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา146ที่จะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่1ที่3ที่4ที่5และที่6เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มีถนนพิพาทผ่านก็ย่อมมีสิทธิใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360 แม้จำเลยที่1จะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ตั้งถนนพิพาทและมีสิทธิใช้ที่ดินและถนนพิพาทนั้นในฐานะเจ้าของรวมก็ตามแต่การใช้สิทธิของจำเลยที่1จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421และ1360การกระทำของจำเลยที่1ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินและวัสดุต่างๆในการทำโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านทำให้ถนนพิพาทเสียหายจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้ทางในที่ดินของเจ้าของรวม การใช้สิทธิโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และขอบเขตความรับผิดทางละเมิด
ถนนพิพาทสร้างขึ้นโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3และที่4ซึ่งเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนนกรณีจึงเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา146ที่จะไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดิน จำเลยที่1ที่3ที่4ที่5และที่6เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินอันเป็นที่ตั้งถนนพิพาทบริษัท พ. เป็นผู้สร้างถนนพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3และที่4เพื่อให้บุคคลในเคหะชุมชนบัวขาวและจำเลยที่3กับที่4ใช้สอยด้วยดังนั้นจำเลยที่1ที่5และที่6ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินย่อมมีสิทธิใช้สอยถนนพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360 จำเลยที่1ว่าจ้างรถยนต์บรรทุก10ล้อบรรทุกดินไปถมที่ดินในโครงการหมู่บ้านของจำเลยที่1เป็นเหตุให้ถนนพิพาทเสียหายดังนี้แม้จำเลยที่1จะมีสิทธิใช้สอยถนนพิพาทได้ก็ตามแต่ในการใช้สิทธิของจำเลยที่1จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421,1360การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการกระทำที่ ละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ถนน-ทางเข้าออก-ละเมิด: เจ้าของรวมใช้สิทธิไม่เกินขอบเขต
บริษัท พ. ซึ่งโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาได้สร้างถนนพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนน ฉะนั้นจึงถือได้ว่าถนนพิพาทเข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 146 ที่จะไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มีถนนพิพาทผ่านก็ย่อมมีสิทธิใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360
แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ตั้งถนนพิพาทและมีสิทธิใช้ที่ดินและถนนพิพาทนั้นในฐานะเจ้าของรวมก็ตาม แต่การใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 421 และ 1360 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินและวัสดุต่าง ๆ ในการทำโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านทำให้ถนนพิพาทเสียหายจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9403-9495/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสภาพการจ้างโดยปริยาย การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และหน้าที่ปฏิบัติตามข้อตกลง
การตกลงอันจะก่อให้เกิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งรวมถึงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นหาได้จำต้องเฉพาะการตกลงโดยชัดแจ้งไม่อาจมีการตกลงโดยปริยายก็ได้ จำเลยเคยจ่ายเงินพิเศษแก่ลูกจ้างปีละ15วันแล้วได้เปลี่ยนมาเป็นการจ่ายคูปองค่าอาหารเดือนละ190บาทแทนลูกจ้างของจำเลยหาได้ทักท้วงหรือโต้แย้งคัดค้านประการใดไม่ตรงกันข้ามกลับยอมรับเอาผลการเปลี่ยนแปลงโดยยอมรับเอาคูปองค่าอาหารแทนเงินพิเศษตลอดมาจึงมีผลผูกพันจำเลยและลูกจ้าง จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายคูปองค่าอาหารให้แก่ลูกจ้างคนละ190บาทต่อเดือนนั้นคูปองค่าอาหารที่จ่ายให้มีลักษณะเป็นสวัสดิการอันเป็นสภาพการจ้างอย่างหนึ่งเมื่อลูกจ้างยอมรับเอาและจำเลยก็ได้จ่ายคูปองค่าอาหารให้แก่ลูกจ้างตลอดมาจึงเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยผู้เป็นนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518บัญญัติให้ทำเป็นหนังสือมี2กรณี คือกรณีแรกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ยี่สิบคนขึ้นไปจะต้องจัดให้มีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา10วรรคแรกซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในกรณีนี้จะต้องมีข้อความดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา11ส่วนกรณีที่สองข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องของนายจ้างหรือลูกจ้างและสามารถตกลงกันได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา18ซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวนอกจากจะต้องทำเป็นหนังสือแล้วนายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างหรือกรรมการของสหภาพแรงงานแล้วแต่กรณีจะต้องลงลายมือชื่อและต้องนำไปจดทะเบียนอีกด้วย จำเลยผู้เป็นนายจ้างตกลงจ่ายคูปองค่าอาหารโดยมิได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องและมิใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่นายจ้างต้องจัดให้มีตามกฎหมายจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือดังนี้จำเลยจะยกเบิกการจ่ายคูปองค่าอาหารซึ่งเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยที่มิได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องแก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา13หาได้ไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าก่อนที่จำเลยจะยกเลิกจ่ายคูปองค่าอาหารจำเลยได้ตกลงกับตัวแทนลูกจ้างแล้วนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟังมาว่าไม่ได้มีการเจรจาสองฝ่ายให้ยกเลิกการจ่ายคูปองค่าอาหารอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54 จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินโบนัสและคูปองค่าอาหารให้แก่ลูกจ้างแยกต่างหากจากกันแม้จำเลยจะเพิ่มเงินโบนัสแก่ลูกจ้างแต่การที่จำเลยยกเลิกการจ่ายคูปองอาหารอันเป็นผลให้ลูกจ้างไม่ได้รับคูปองอาหารย่อมไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างจำเลยจะแก้ไขยกเลิกโดยลำพังโดยที่มิได้ดำเนินการตามมาตรา13แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518หาได้ไม่ คำพิพากษาศาลแรงงานกล่าวไว้ในส่วนของคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องจ่ายค่าอาหารแก่โจทก์แต่พิพากษาให้จำเลยจ่ายอาหารแก่โจทก์นั้นเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยและเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจำเลยตกลงจ่ายคูปองค่าอาหารแก่ลูกจ้างเดือนละ190บาทซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจึงให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจ่ายคูปองค่าอาหารเดือนละ190บาทแก่โจทก์ทุกคน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9049/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิลูกหนี้ตามคำพิพากษาในการขอเพิกถอนหมายบังคับคดีที่ไม่ถูกต้อง และอำนาจศาลในการพิจารณา
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีได้ และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีโดยผิดหลงก็มีคำสั่งให้ยกเลิกหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9024-9026/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมพิจารณาคดีเช็ค – แม้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาถึงสำนวนอื่นได้หากมีมูลเหตุเดียวกัน
แม้คดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยจะฎีกาไม่ได้เพราะต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งก็ตามแต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวนั้นศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามสำนวนรวม13ฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าทำรองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมายจ.14หรือจ.18รวมราคา300,000บาทเศษเช่นเดียวกันคดีทั้งสามสำนวนจึงมีมูลกรณีเดียวกันเป็นคดีเกี่ยวพันกันและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแล้วการฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกันเมื่อจำต้องฟังพยานหลักฐานรวมกันเช่นนี้หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนนั้นด้วยเมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงคดีดังกล่าวทั้งสองสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8510/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านคำสั่งกำหนดประเด็นข้อพิพาทเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2537 การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2537 คัดค้านว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้อง เป็นการคัดค้านเมื่อล่วงพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลแรงงาน-กลางมีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 183วรรคสี่ ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลาง จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลางดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8510/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทนอกกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ทำให้จำเลยไม่สามารถอุทธรณ์ได้
ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อวันที่25เมษายน2537การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องเมื่อวันที่13ตุลาคม2537คัดค้านว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้องเป็นการคัดค้านเมื่อล่วงพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสี่ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลางจำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลางดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8322/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดิน น.ส.2 ยังไม่ถือเป็นการได้สิทธิทำประโยชน์ตามกฎหมาย ไม่สามารถโอนได้ แต่มีสิทธิขับไล่ผู้บุกรุกได้
ที่ดินพิพาทเป็นของบิดาโจทก์ให้จำเลยครอบครองแทนแต่ที่ดินพิพาทมีเพียง น.ส.2 ซึ่งเป็นหนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินของรัฐชั่วคราว ยังไม่ได้รับคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้วตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9 จึงโอนกันไม่ได้ ฉะนั้นโจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่ออยู่ใน น.ส.2 ไปยื่นหรือขอให้เปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่เจ้าพนักงานที่ดินจะออกให้ตาม น.ส.2 เป็นชื่อโจทก์ได้ จึงพิพากษาให้ตามคำขอส่วนนี้ไม่ได้ แต่เนื่องจากเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ และโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปรบกวนการครอบครองที่พิพาท จึงเป็นคดีประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จึงมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1)
of 200