พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6681/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลาออกเอง vs. การเลิกจ้าง และดุลพินิจการจ่ายโบนัส
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานได้กำหนดไว้ในข้อ 46 วรรคแรกว่า "ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง..." หมายความว่า นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ดังนี้ การที่โจทก์ลูกจ้างมีหนังสือถึงจำเลยนายจ้างอ้างถึงสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย และมีข้อความตอนหนึ่งว่า "ผม (หมายถึงโจทก์)จะไม่ต่อสัญญา ผมจึงพร้อมที่จะไปจากที่ทำงานในวันหมดอายุของสัญญา..."ซึ่งข้อความดังกล่าวแสดงว่า โจทก์จะไม่ทำงานให้จำเลยต่อไปเมื่อครบอายุสัญญาถือได้ว่าโจทก์ขอลาออกเอง จำเลยหาได้เลิกจ้างโจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ แม้ในหนังสือของโจทก์ที่มีถึงจำเลยนั้นจะได้เรียกร้องค่าชดเชยด้วย ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด
เงินโบนัสมิใช่เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน นายจ้างจึงกำหนดหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสอย่างใดก็ได้ เมื่อจำเลยมีหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสประจำปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินผลงาน จึงย่อมอยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่จะพิจารณาจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การที่โจทก์ได้รับเงินโบนัสเพิ่มขึ้นทุกปี และปี 2536 ได้รับเงินโบนัสเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือนไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันอันจะบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามนั้น เมื่อการประเมินผลงานในปี 2537 ปีที่พิพาทกัน โจทก์ได้รับการประเมินผลงานในระดับพอใช้ ส่วนลูกจ้างคนอื่นได้รับการประเมินผลงานในระดับดีมาก การที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างจำนวนสี่เดือน ในขณะที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างคนอื่นเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจของจำเลยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสเพิ่มอีกได้
เงินโบนัสมิใช่เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน นายจ้างจึงกำหนดหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสอย่างใดก็ได้ เมื่อจำเลยมีหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสประจำปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินผลงาน จึงย่อมอยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่จะพิจารณาจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การที่โจทก์ได้รับเงินโบนัสเพิ่มขึ้นทุกปี และปี 2536 ได้รับเงินโบนัสเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือนไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันอันจะบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามนั้น เมื่อการประเมินผลงานในปี 2537 ปีที่พิพาทกัน โจทก์ได้รับการประเมินผลงานในระดับพอใช้ ส่วนลูกจ้างคนอื่นได้รับการประเมินผลงานในระดับดีมาก การที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างจำนวนสี่เดือน ในขณะที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างคนอื่นเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจของจำเลยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสเพิ่มอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6681/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลาออกเอง vs. การเลิกจ้าง และดุลพินิจการจ่ายโบนัส
ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานได้กำหนดไว้ในข้อ46วรรคแรกว่า"ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง"หมายความว่านายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างดังนี้การที่โจทก์ลูกจ้างมีหนังสือถึงจำเลยนายจ้างอ้างถึงสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยและมีข้อความตอนหนึ่งว่า"ผม(หมายถึงโจทก์)จะไม่ต่อสัญญาผมจึงพร้อมที่จะไปจากที่ทำงานในวันหมดอายุของสัญญา"ซึ่งข้อความดังกล่าวแสดงว่าโจทก์จะไม่ทำงานให้จำเลยต่อไปเมื่อครบอายุสัญญาถือได้ว่าโจทก์ขอลาออกเองจำเลยหาได้เลิกจ้างโจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์แม้ในหนังสือของโจทก์ที่มีถึงจำเลยนั้นจะได้เรียกร้องค่าชดเชยด้วยก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด เงินโบนัสมิใช้เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานนายจ้างจึงกำหนดหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสอย่างใดก็ได้เมื่อจำเลยมีหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสประจำปีซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินผลงานจึงย่อมอยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่จะพิจารณาจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวการที่โจทก์ได้รับเงินโบนัสเพิ่มขึ้นทุกปีและปี2536ได้รับเงินโบนัสเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือนไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันอันจะบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามนั้นเมื่อการประเมินผลงานในปี2537ปีที่พิพาทกันโจทก์ได้รับการประเมินผลงานในระดับพอใช้ส่วนลูกจ้างคนอื่นได้รับการประเมินผลงานในระดับดีมากการที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างจำนวนสี่เดือนในขณะที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างคนอื่นเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือนจึงเป็นการใช้ดุลพินิจของจำเลยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสเพิ่มอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6621/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์: เงินจากการขายทอดตลาดต้องส่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อแบ่งให้เจ้าหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยได้เงินจำนวน2,100,000บาทเมื่อวันที่27พฤษภาคม2534ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่22มิถุนายน2533การขายทอดตลาดดังกล่าวจึงเป็นการบังคับคดีในระหว่างที่จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดซึ่งอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยเพื่อจัดการแบ่งในระหว่างเจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา22,124เมื่อความปรากฏเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวมาเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายได้ตามมาตรา111ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินจากการขายทอดตลาดจึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ไว้ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแต่โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยก็โดยยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา27,91และมาตรา94เท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์อีกต่อไปดังนั้นเมื่อเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้รับชำระหนี้โดยเต็มจำนวนหมดแล้วเงินที่เหลืออยู่ย่อมต้องคืนให้แก่จำเลยในคดีล้มละลายต่อไปตามมาตรา132
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6621/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีขัดแย้งกับคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยได้เงินจำนวน 2,100,000 บาท เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2534ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2533 การขายทอดตลาดดังกล่าวจึงเป็นการบังคับคดีในระหว่างที่จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดซึ่งอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยเพื่อจัดการแบ่งในระหว่างเจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22,124 เมื่อความปรากฏเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวมาเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ได้ตามมาตรา 111 ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินจากการขายทอดตลาดจึงมิใช่เป็นการรับชำระหนี้ไว้ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลย แต่โจทก์จะมีสิทธิ ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยก็โดยยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27,91 และมาตรา 94เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์อีกต่อไปดังนั้นเมื่อเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้รับชำระหนี้โดยเต็มจำนวนหมดแล้ว เงินที่เหลืออยู่ย่อมต้องคืนให้แก่จำเลยในคดีล้มละลายต่อไปตามมาตรา 132
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจ, อากรแสตมป์, อำนาจฟ้องแย้ง: การมอบอำนาจดำเนินคดีเฉพาะเรื่อง และการใช้สิทธิฟ้องแย้งของผู้รับมอบอำนาจ
หนังสือมอบอำนาจระบุว่า จำเลยมอบอำนาจให้ ว.ดำเนินคดีนี้แทนและระบุเลขคดี ชื่อศาล กับชื่อคู่ความไว้โดยให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิ เช่น ยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้องการประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ ฎีกา การขอให้พิจารณาใหม่ รวมทั้งมีอำนาจรับเอกสารคืนจากศาล การแต่งตั้งตัวแทนช่วงเพื่อการนี้ด้วย เป็นการที่จำเลยมอบ อำนาจให้ ดำเนินคดีแทนเฉพาะคดีนี้ ถือว่ามอบอำนาจให้กระทำการ ครั้งเดียว ต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 7(ก) การที่จำเลยมอบอำนาจให้ ว. มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามหนังสือมอบอำนาจ ย่อมหมายถึงให้มีอำนาจในการต่อสู้คดีซึ่งรวมถึงมีอำนาจฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ด้วยและผู้รับมอบอำนาจย่อมตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจเพียงครั้งเดียวถูกต้องตามกฎหมาย และผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจฟ้องแย้งได้
หนังสือมอบอำนาจระบุว่าจำเลยมอบอำนาจให้ว. ดำเนินคดีนี้แทนและระบุเลขคดีชื่อศาลกับชื่อคู่ความไว้โดยให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิเช่นยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องการถอนฟ้องการประนีประนอมจอมความการสละสิทธิการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาการขอให้พิจารณาใหม่รวมทั้งมีอำนาจรับเอกสารคืนจากศาลการแต่งตั้งตัวแทนช่วงเพื่อการนี้ด้วยเป็นการที่จำเลยมอบอำนาจให้ว.ดำเนินคดีแทนเฉพาะคดีนี้ถือว่ามอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียวต้องปิดอากรแสตมป์10บาทตามประมวลรัษฎากรมาตรา118และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ7(ก) การที่จำเลยมอบอำนาจให้ว. มีอำนาจดำเนินกระบวนการพิจารณาแทนตามหนังสือมอบอำนาจย่อมหมายถึงให้มีอำนาจในการต่อสู้คดีซึ่งรวมถึงมีอำนาจฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ด้วยและผู้รับมอบอำนาจย่อมตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6362/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับชำระหนี้และการยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีอื่น ไม่เป็นเหตุต้องห้ามฟ้อง
โจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ในคดีนี้แต่โจทก์เคยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีที่เจ้าหนี้อื่นฟ้องจำเลยและศาลยกคำร้องเพราะหนี้โจทก์ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามป.วิ.พ.มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6362/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่: การฟ้องบังคับชำระหนี้แยกจากคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีที่เจ้าหนี้อื่นฟ้อง
โจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ในคดีนี้แต่โจทก์เคยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีที่เจ้าหน้าอื่นฟ้องจำเลยและศาลยกคำร้องเพราะหนี้โจทก์ยังไม่ถึงกำหนดชำระฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6284/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: การพิจารณาเหตุผลที่แท้จริงในการเลิกจ้างและการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ว่า เงินค่าน้ำมันที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนโดยพิจารณาจากการออกปฏิบัติงานนอกสถานที่ของโจทก์เพียงอย่างเดียวซึ่งหน้าที่การทำงานปกติของโจทก์ต้องออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้านอกสถานที่ และโดยส่วนใหญ่โจทก์จะได้รับเงินดังกล่าวเต็มจำนวนทุกเดือนเงินดังกล่าวจำเลยจ่ายให้โจทก์ตามผลของการปฏิบัติงานของโจทก์ ก็คือการจ่ายตามผลงานนั้นเอง และเงินดังกล่าวจำเลย ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน จึงเป็นค่าจ้างและจะต้องนำเงิน จำนวนดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยนั้น เป็นการ ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ฟัง ข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถให้ไม่แน่นอนแล้วแต่การออกปฏิบัติงานนอกสถานที่ของโจทก์ตามส่วน เป็นเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถให้โจทก์ที่ต้องจ่ายจริง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างมีผลกระทบความรู้สึกของพนักงานส่วนหนึ่งที่ทราบเรื่องและไม่พอใจโจทก์ และการที่จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นภายหลังได้นั้นแม้จะเป็นการคาดเดาเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดจริงก็ตาม แต่เมื่อเป็นการคาดการณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงที่สืบเนื่องจาก ผลแห่งการกระทำของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นไปตามเหตุที่มีอยู่จริงและเพื่อผลในการป้องกันมิให้เกิดปัญหา หาได้มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6284/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้าง: เหตุผลทางธุรกิจ, ผลกระทบต่อความรู้สึกพนักงาน และการป้องกันปัญหา
จำเลยอุทธรณ์ว่า เงินค่าน้ำมันที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนโดยพิจารณาจากการออกปฏิบัติงานนอกสถานที่ของโจทก์เพียงอย่างเดียวซึ่งหน้าที่การทำงานปกติของโจทก์ต้องออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้านอกสถานที่ และโดยส่วนใหญ่โจทก์จะได้รับเงินดังกล่าวเต็มจำนวนทุกเดือน เงินดังกล่าวจำเลยจ่ายให้โจทก์ตามผลของการปฏิบัติงานของโจทก์ ก็คือการจ่ายตามผลงานนั้นเอง และเงินดังกล่าวจำเลยถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน จึงเป็นค่าจ้างและจะต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถให้ไม่แน่นอนแล้วแต่การออกปฏิบัติงานนอกสถานที่ของโจทก์ตามส่วน เป็นเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถให้โจทก์ที่ต้องจ่ายจริง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างมีผลกระทบความรู้สึกของพนักงานส่วนหนึ่งที่ทราบเรื่องและไม่พอใจโจทก์ และการที่จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นภายหลังได้นั้น แม้จะเป็นการคาดเดาเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดจริงก็ตาม แต่เมื่อเป็นการคาดการณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงที่สืบเนื่องจากผลแห่งการกระทำของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นไปตามเหตุที่มีอยู่จริงและเพื่อผลในการป้องกันมิให้เกิดปัญหา หาได้มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
เมื่อการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างมีผลกระทบความรู้สึกของพนักงานส่วนหนึ่งที่ทราบเรื่องและไม่พอใจโจทก์ และการที่จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นภายหลังได้นั้น แม้จะเป็นการคาดเดาเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดจริงก็ตาม แต่เมื่อเป็นการคาดการณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงที่สืบเนื่องจากผลแห่งการกระทำของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นไปตามเหตุที่มีอยู่จริงและเพื่อผลในการป้องกันมิให้เกิดปัญหา หาได้มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม