คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5911/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ และไม่ขาดอายุความ
ตามคำฟ้องเดิมโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อแม้โจทก์กล่าวถึงสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ทำกับโจทก์ก็เป็นเพียงการเท้าความให้เห็นถึงความเป็นมาของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเท่านั้นการที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตออกจึงไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีและความรับผิดของจำเลยที่1เปลี่ยนแปลงไปที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องจึงชอบแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าในการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ที่ทำกับโจทก์มีจำเลยที่1ทำสัญญาค้ำประกันไว้และกล่าวถึงรายละเอียดของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตลอดจนภาระหนี้สินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.และจำเลยที่1จะต้องร่วมกันรับผิดไว้ครบถ้วนคำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วส่วนรายละเอียดว่าเล็ตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับเลขที่เท่าใดจำนวนเงินเท่าใดและสัญญารับมอบสินค้าเชื่อแต่ละฉบับเกี่ยวกับเล็ตเตอร์ออฟเครดิตฉบับใดนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศผู้ขายส่งสินค้ามาประเทศไทยพร้อมกับส่งตั๋วแลกเงินและเอกสารกำกับสินค้าให้แก่ธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศเพื่อส่งมาให้โจทก์เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ไม่มีเงินชำระค่าสินค้าจึงทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอให้โจทก์มอบเอกสารต่างๆให้จะได้นำไปออกสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อนำไปจำหน่ายและนำเงินค่าสินค้ามาชำระให้โจทก์โดยสัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าโจทก์คงเป็นเจ้าของสินค้าและห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.จะทำการขายสินค้าในฐานะตัวแทนโจทก์สัญญารับมอบสินค้าเชื่อดังกล่าวจึงเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไปเป็นของโจทก์เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของสินค้าการครอบครองสินค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การครอบครองในลักษณะจำนำการที่โจทก์มอบเอกสารกำกับสินค้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. เพื่อนำไปออกสินค้าจึงไม่ทำให้หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อระงับไป สัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทเป็นธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำได้ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์มาตรา9ทวิ โจทก์ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.เมื่อปี2523โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่1ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่1ทำไว้แก่โจทก์ได้ภายใน10ปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินค้าซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่26พฤษภาคม2532ยังไม่เกิน10ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5911/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ ไม่ขาดอายุความ 10 ปี ศาลอนุญาตแก้ไขคำฟ้องได้
ตามคำฟ้องเดิมโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ แม้โจทก์กล่าวถึงสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.ทำกับโจทก์ก็เป็นเพียงการเท้าความให้เห็นถึงความเป็นมาของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเท่านั้น การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตออกจึงไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีและความรับผิดของจำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องจึงชอบแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.ที่ทำกับโจทก์มีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ และกล่าวถึงรายละเอียดของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตลอดจนภาระหนี้สินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.และจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมกันรับผิดไว้ครบถ้วน คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าเล็ตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับเลขที่เท่าใด จำนวนเงินเท่าใด และสัญญารับมอบสินค้าเชื่อแต่ละฉบับเกี่ยวกับเล็ตเตอร์ออฟเครดิตฉบับใดนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ผู้ขายส่งสินค้ามาประเทศไทยพร้อมกับส่งตั๋วแลกเงินและเอกสารกำกับสินค้าให้แก่ธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศเพื่อส่งมาให้โจทก์เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.ไม่มีเงินชำระค่าสินค้า จึงทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอให้โจทก์มอบเอกสารต่าง ๆ ให้จะได้นำไปออกสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปจำหน่ายและนำเงินค่าสินค้ามาชำระให้โจทก์ โดยสัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าโจทก์คงเป็นเจ้าของสินค้า และห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.จะทำการขายสินค้าในฐานะตัวแทนโจทก์สัญญารับมอบสินค้าเชื่อดังกล่าวจึงเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไปเป็นของโจทก์เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของสินค้า การครอบครองสินค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การครอบครองในลักษณะจำนำ การที่โจทก์มอบเอกสารกำกับสินค้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.เพื่อนำไปออกสินค้าจึงไม่ทำให้หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อระงับไป
สัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทเป็นธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำได้ ไม่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์มาตรา 9 ทวิ
โจทก์ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. เมื่อปี 2523โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์ได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินค้าซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่26 พฤษภาคม 2532 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้เดิม และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงไม่เป็นการแปลงหนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่จำเลยที่2ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไรมีจำเลยที่2ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยระบุที่มาของหนี้จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่1และที่2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไรฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวันซึ่งจำเลยที่1เปิดไว้กับโจทก์ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ70แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90(1)เดิมคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน3วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ และฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อระบุรายละเอียดหนี้ชัดเจน
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้ โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไร คงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่เป็นการแปลงหนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่ จำเลยที่ 2 ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไร มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว โดยระบุที่มาของหนี้ จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไร ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวัน ซึ่งจำเลยที่ 1เปิดไว้กับโจทก์ ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ 70 แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1)เดิม คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน 3 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ และฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่หนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่จำเลยที่2ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไรมีจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยระบุที่มาของหนี้จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่1และที่2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไรฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวันซึ่งจำเลยที่1เปิดไว้กับโจทก์ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ70แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90(1)เดิมคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน3วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่ทำกับผู้จัดการมรดกที่ไม่มีอำนาจ ผู้จัดการมรดกต้องจัดการโดยเสียงข้างมาก สัญญาไม่ผูกพันกองมรดก
ผู้จัดการมรดกของ พ.มีสามคนคืออ.ช. และจำเลยขณะจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ในคดีนี้ อ.และช.ผู้จัดการมรดกอีกสอบคนถึงแก่กรรมแล้ว ดังนี้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวย่อมไม่มีอำนาจจัดการมรดกต่อไปตามลำพัง เพราะในกรณีมีผู้จัดการมรดกหลายคนจะต้องจัดการโดยถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกร่วมกัน สัญญาเช่าที่พิพาทจึงไม่ผูกพันกองมรดก การที่ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวในภายหลังไม่มีผลทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันกองมรดก โจทก์ฎีกาอ้างเพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าทายาทของ พ. ได้เชิดจำเลยให้แสดงออกว่าจำเลยเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์มรดกของ พ.แต่เพียงผู้เดียวโดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการมรดกต้องใช้เสียงข้างมากของผู้จัดการมรดก สัญญาเช่าที่ทำโดยผู้จัดการมรดกคนเดียวไม่ผูกพันกองมรดก
ผู้จัดการมรดกของ พ.มีสามคน คือ อ. ช. และจำเลย ขณะจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ในคดีนี้ อ.และ ช.ผู้จัดการมรดกอีกสองคนถึงแก่กรรมแล้ว ดังนี้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวย่อมไม่มีอำนาจจัดการมรดกต่อไปตามลำพัง เพราะในกรณีมีผู้จัดการมรดกหลายคนจะต้องจัดการโดยถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกร่วมกัน สัญญาเช่าที่พิพาทจึงไม่ผูกพันกองมรดก การที่ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการ-มรดกแต่เพียงผู้เดียวในภายหลังไม่มีผลทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันกองมรดก
โจทก์ฎีกาอ้างเพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า ทายาทของ พ.ได้เชิดจำเลยให้แสดงออกว่าจำเลยเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์มรดกของ พ.แต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลและการย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 ซึ่งระบุว่า ทำที่ 395 - 399 ถนนมิตรภาพ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นโดยโจทก์อ้างว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญามิได้ทำขึ้นที่บ้านเลขที่ดังกล่าว มูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 นำสืบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ฉะนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่ามูลคดีเกิดในเขตศาลชั้นต้นและตามข้อเท็จจริงในสำนวนไม่ปรากฏว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่เป็นความจริง ศาลจังหวัดนครราชสีมาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ แม้จำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสีคิ้วก็ตาม
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ด้วยว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ สัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารปลอม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เพียง 5 ปี ซึ่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวบางข้อเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับคดีต้องเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกา การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเกินขอบเขตคำพิพากษา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า เนื้อที่ส่วนพิพาทตามหลักเขตภายในกรอบเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ไม่ได้มีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยหรือให้ต้องออกไป หรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทการที่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จัดการให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามหมายบังคับคดีเพื่อให้รวมถึงการรื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทออกไปด้วย จึงเป็นการบังคับที่เกินไปจากคำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตบังคับคดีตามคำพิพากษา: ห้ามเกินเลยคำพิพากษาเดิม แม้ศาลพิพากษาให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ไม่ได้สั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ศาลฎีกาพิพากษาว่าเนื้อที่ส่วนพิพาทตามหลักเขตภายในกรอบเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกไม่ได้มีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยหรือให้ต้องออกไปหรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทการที่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จัดการให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามหมายบังคับคดีเพื่อให้รวมถึงการรื้อถอนสิ่งกีดขวางต่างๆรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทออกไปด้วยจึงเป็นการบังคับที่เกินไปจากคำพิพากษาศาลฎีกา
of 200