พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายในอนาคตไม่อาจนำมารวมคำนวณทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ได้
ค่าเสียหายปีละ 40,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ นับแต่วันหลังจากวันฟ้องนั้น เป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ 200 บาทรวมเป็น 400 บาท จำเลยเสียเกินมา ศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ 200 บาทรวมเป็น 400 บาท จำเลยเสียเกินมา ศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์คดีแพ่ง: การคำนวณค่าเสียหายในอนาคตไม่รวมในทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่คิดถึงวันฟ้องให้โจทก์10,000บาทเมื่อรวมกับราคาที่ดินพิพาทอีก30,000บาทคดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์40,000บาทส่วนค่าเสียหายปีละ40,000บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์หลังจากวันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ด้วยไม่ได้คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำเลย กรณีผู้เช่าวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวางณสำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลยการที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใดทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า: การที่โจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าจากผู้เช่าที่วางทรัพย์มีเงื่อนไข ไม่ใช่ความผิดจำเลย
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลย การที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้ มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใด ทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำเลย กรณีผู้เช่าวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้เจ้าหนี้อื่น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวางณสำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลยการที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใดทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ และการประเมินเหตุเพื่อความชอบธรรมในคดีหมิ่นประมาท
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 194 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า วันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่ทำงานของโจทก์และด่าว่าโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีจำเลยจริง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ดังนั้นแม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าโจทก์มิได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามี-จำเลย ไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ดังนั้น จำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามี-จำเลย ไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ดังนั้น จำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท – การใช้ดุลพินิจในการลงโทษ – ข้อจำกัดการอุทธรณ์ – การฟังข้อเท็จจริง
คดีมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย400บาทจึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจึงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะไปกล่าวประจานโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้าจึงยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3647/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อห้ามฟ้องซ้ำ: ประเด็นผิดสัญญาซื้อขายที่ฟ้องแล้วเด็ดขาด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ก่อน ไม่ได้ผิดสัญญา คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสามโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสามทำการฉ้อฉลโอนขายที่พิพาทเพื่อหลีกเลี่ยงไม่โอนขายให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าสัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นเพียงสิทธิตามสัญญา แต่สิทธิของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย การโอนทำโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีเหมือนกันว่า จำเลยที่ 1เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องเดียวกัน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3647/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน – ประเด็นผิดสัญญาเดิมเหมือนกัน ศาลยกฟ้องตามมาตรา 173(1) ป.วิ.พ.
คดีก่อนโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1โอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายโดยอ้างว่าจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่1ให้การว่าจำเลยที่1มีหน้าที่ต้องขายที่พิพาทให้จำเลยที่2ก่อนไม่ได้ผิดสัญญาคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสามโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามทำการฉ้อฉลโอนขายที่พิพาทเพื่อหลีกเลี่ยงไม่โอนขายให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายขอให้จำเลยที่1โอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยที่1ให้การว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1เป็นเพียงสิทธิตามสัญญาแต่สิทธิของจำเลยที่2กับจำเลยที่1เป็นหน้าที่ตามกฎหมายการโอนทำโดยสุจริตขอให้ยกฟ้องประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จึงมีเหมือนกันว่าจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1จึงเป็นเรื่องเดียวกันต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3598/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาชดใช้ค่าเสียหายจากการชนท่าเรือ และความรับผิดของตัวแทน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามข้อตกลงในคำร้องขอนำเรือเข้าท่าภายในอาณาบริเวณของโจทก์ที่จำเลยที่3ในฐานะตัวแทนจำเลยที่1ทำไว้กับโจทก์โดยคำร้องดังกล่าวมีข้อความว่าข้าพเจ้ายอมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเรือที่นำเข้าได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพื่อนำเรือเข้ามาจอดซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่1ที่จะยอมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่เรือซัมเมอร์เบย์ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งการแสดงเจตนาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่1และกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้จึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164 จำเลยที่1เป็นนิติบุคคลต่างประเทศมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยถือได้ว่าจำเลยที่1มีภูมิลำเนาประเทศไทยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา71การที่จำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่1ในประเทศไทยและจำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่2ให้ติดต่อกับโจทก์แทนจำเลยที่1ทำสัญญากับโจทก์แทนจำเลยที่1จึงไม่ใช่กรณีทำแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศอันจะอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา824จำเลยที่2ที่3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวและการที่จำเลยที่2และจำเลยที่3เข้าทำการเกี่ยวข้องกับโจทก์เป็นการทำในฐานะที่เป็นตัวแทนของจำเลยที่1จำเลยที่2และจำเลยที่3จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดต่อโจทก์