คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3415-3417/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การจ่ายค่าชดเชยและเงินบำเหน็จตามกฎหมายแรงงาน
จำเลยไม่อาจนำเหตุที่ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ที่1ที่2และที่4แล้วมาเป็นข้อพิจารณาว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการยกเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่1ที่2และที่4โดยที่โจทก์ดังกล่าวมิได้กระทำความผิดเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพระราชบัญญัติญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา49เป็นบทบัญญัติคุ้มครองลูกจ้างเพื่อมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแต่หาได้ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของนายจ้างด้วยไม่โจทก์ที่4จึงไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของจำเลย เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่2โดยไม่มีความผิดโจทก์ที่2จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเพราะเหตุทดแทนตามระเบียบของจำเลยว่าด้วยเงินบำเหน็จพนักงานและลูกจ้างที่ออกจากงานหรือถึงแก่ความตายพ.ศ.2517ข้อ3(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3369/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางค่าธรรมเนียมศาลเพื่ออุทธรณ์ การขยายเวลา และผลของการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน
จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาการนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายในกำหนดเมื่อไม่ปฏิบัติตามและมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอีกในวันสุดท้ายโดยไม่มีพฤติการณ์พิเศษและศาลสั่งยกคำร้องจำเลยทั้งสองก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเดิมของศาลศาลจึงไม่จำต้องกำหนดเวลาให้จำเลยทั้งสองนำเงินดังกล่าวมาวางศาลอีกมิฉะนั้นก็เท่ากับว่าศาลอนุญาตให้ขยายเวลาอีกนั่นเอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขยายเวลาที่จำเลยทั้งสองต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลกับมีคำสั่งรับอุทธรณ์ด้วยเป็นการข้ามขั้นตอนผิดระเบียบของกระบวนการพิจารณาชั้นตรวจรับอุทธรณ์ตามมาตรา27ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจเพิกถอนแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองได้ เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ตามมาตรา236เท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์เพราะจำเลยทั้งสองไม่วางเงินค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3369/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางค่าธรรมเนียมศาลเป็นเงื่อนไขการรับอุทธรณ์ การขยายเวลา และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
จำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกไป20วันตามคำร้องของจำเลยแล้วเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลการที่จำเลยปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอีกในวันสุดท้ายเมื่อไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้ได้และศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องจำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ได้สั่งไว้เดิมหากศาลกำหนดระยะเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายใน7วันอีกย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้จำเลยออกไปอีก7วันนั่นเองทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะรับหรือไม่รับคำคู่ความที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลอีกจึงชอบแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วยดังนั้นหากผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจรับอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นเสียการที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมนั้นต่อศาลภายใน20วันศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตตามขอกับมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยด้วยทั้งที่จำเลยยังไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาจึงข้ามขั้นตอนของกระบวนพิจารณาชั้นตรวจรับอุทธรณ์เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา27ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนได้เองการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236เท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา229ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์นั้นจึงไม่ชอบด้วยมาตรา236

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดค่าชดเชยและค่าสินจ้าง
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลย คำสั่งของจำเลย เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิที่จะบอกเลิกการจ้างต่อโจทก์ได้ซึ่งจำเลยก็ได้บอกกล่าวต่อโจทก์เป็นหนังสือแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่อโจทก์นั้น คดีนี้ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า คำสั่งเลิกจ้างไม่ได้ระบุว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนเรื่องใด และจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าหลังจากมีหนังสือเตือนแล้ว โจทก์ยังได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนอีก ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งได้เตือนเป็นหนังสือแล้ว และฟังไม่ได้ว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ดังนี้เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยคงกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โดยไม่ได้คัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนแล้ว และโจทก์ไม่ได้จงใจขัดคำสั่งของจำเลยหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์อย่างไรหรือไม่ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องพิสูจน์ความผิดซ้ำของลูกจ้างหลังการเตือน หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลแรงงานพิพากษาให้จ่ายค่าชดเชยและค่าสินจ้าง
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยมีสิทธิที่จะบอกเลิกการจ้างต่อโจทก์ได้ซึ่งจำเลยก็ได้บอกกล่าวต่อโจทก์เป็นหนังสือแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่อโจทก์นั้นคดีนี้ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคำสั่งเลิกจ้างไม่ได้ระบุว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนเรื่องใดและจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าหลังจากมีหนังสือเตือนแล้วโจทก์ยังได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนอีกข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งได้เตือนเป็นหนังสือแล้วและฟังไม่ได้ว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณดังนี้เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยคงกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยไม่ได้คัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนแล้วและโจทก์ไม่ได้จงใจขัดคำสั่งของจำเลยหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์อย่างไรหรือไม่อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3276/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลแรงงานวินิจฉัยจากคำรับของคู่ความได้หากพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลแรงงานกลางมีอำนาจสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือว่าได้ใช้ดุลพินิจพิเคราะห์ พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา104ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา31การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการใช้ดุลพินิจดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและผลของคำพิพากษาที่ไม่ผูกพันคู่ความอื่น แม้มีการยอมความและโอนทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องและจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ตามฟ้อง
แม้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนขายที่ดินบางแปลงตามบัญชีทรัพย์มรดกท้ายฟ้องให้แก่บุคคลอื่น และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวและมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการแบ่งสินสมรสและมรดก แม้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบุคคลอื่น
โจทก์ฟ้องและจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ตามฟ้อง แม้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนขายที่ดินบางแปลงตามบัญชีทรัพย์มรดกท้ายฟ้องให้แก่บุคคลอื่นและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตามคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่1ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวและมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการแบ่งสินสมรสและมรดก แม้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมิได้มีคู่ความร่วมด้วย
แม้จำเลยในฐานะ ผู้จัดการมรดกของ ส. ได้ทำ สัญญาประนีประนอมยอมความโอนขาย ที่ดินทรัพย์ มรดกซึ่งเป็น สินสมรสระหว่างโจทก์ที่1กับ ส. ให้แก่บุคคลอื่นและศาลมี คำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดไปแล้วคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่1ซึ่งมิได้เป็น คู่ความด้วยโจทก์ที่1ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินได้ส่วนปัญหาว่าจะแบ่งกันได้เพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115-3118/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอบังคับคดีต้องระบุคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้ออกหมายบังคับคดีต้องระบุโดยแจ้งชัดถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดีตามนั้นและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา275(1)และ(3)มิฉะนั้นย่อมเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
of 200