คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน - การฟ้องขอชำระหนี้จากกองมรดกซ้ำกับคดีเดิมที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายให้ชำระหนี้ให้โจทก์ในจำนวนหนี้ที่ผู้ตายนำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นที่ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์โดยจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายได้ทำหนังสือรับสภาพเจ้าหนี้ให้โจทก์ไว้เป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายชำระหนี้ให้แก่โจทก์การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายกับจำเลยที่4ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายรับผิดชำระหนี้ที่ผู้ตายนำไม้รายเดียวกันในคดีก่อนไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์โดยอ้างว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนเงินมากกว่าที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงนำหนี้ที่เหลือมาฟ้องคดีนี้นั้นเป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกับการฟ้องคดีก่อนแต่กรณีมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแต่เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามมาตรา173วรรค(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีซ้ำซ้อนในขณะที่คดีเดิมยังอยู่ระหว่างพิจารณา
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ตายให้ชำระหนี้ให้โจทก์ในจำนวนหนี้ที่ผู้ตายนำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นที่ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์โดยจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายได้ทำหนังสือ รับสภาพหนี้ของผู้ตายให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานเป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายโดยมี ประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ค่านำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นดังฟ้องของโจทก์เพียงใดหรือไม่ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายชำระหนี้ของผู้ตายให้แก่โจทก์และ คดีถึงที่สุดแล้วการทีโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายกับจำเลยที่4ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายรับผิดชำระหนี้ที่ผู้ตายนำไม้รายเดียวกับในคดีก่อนไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์โดยอ้างว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนเงินมากกว่าที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงนำ หนี้ที่เหลือมาฟ้องคดีนี้นั้นเป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกับการฟ้องคดีก่อนและคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อนในส่วนที่ว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ค่านำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์เพียงใดหรือไม่แม้จะได้ความดังกล่าวกรณีก็มิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแต่อย่างไรก็ดีการที่โจทก์ได้ยื่นคำฟ้องคดีก่อนต่อศาลชั้นต้นและคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้นำคดีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันนั้นมายื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นอีกจึงเป็นการ ฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดของบริษัทขนส่งต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และการฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจ
แม้จำเลยที่1ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำเรือนจำก็มิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่ไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1เดิม)โจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ในมูลละเมิดต่อศาลชั้นต้นที่เรือนจำตั้งอยู่มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันดังกล่าวจึงเป็นกิจการร่วมกันการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่2เช่าซื้อรถยนต์กระบะคันที่ถูกจำเลยที่1ขับชนโดยต้องรับผิดซ่อมแซมรถด้วยโจทก์ที่2ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้แม้ต่อมาสัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันก็ไม่เป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่2ซึ่งมีอยู่แล้วระงับสิ้นไป จำเลยที่3ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์คนละ100,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแพ่ง: ผลกระทบจาก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2534 และความรับผิดทางละเมิดร่วมกัน
จำเลยที่1ต้องโทษจำเลยจำคุกอยู่ในเรือนจำจังหวัดสงขลาเรือนจำดังกล่าวมิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่จึงไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1ขณะฟ้องโจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ต่อศาลชั้นต้นมิได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมโจทก์ทั้งห้าต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยที่1มีภูมิลำเนาคือศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาแต่เนื่องจากขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา4(1)บัญญัติว่า"คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่"เช่นนี้จึงทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันเกิดเหตุจึงเป็นกิจการร่วมกันระหว่างจำเลยที่2และที่3ฉะนั้นการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 653/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากยื่นพ้นกำหนดหลังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องทราบคำพิพากษาแล้ว
เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่30ธันวาคม2535ที่วินิจฉัยในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ว่าผู้ร้องได้อ่านหรือทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดฉบับลงวันที่31มกราคม2534แล้วตั้งแต่วันที่25ธันวาคม2534จึงให้ถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่31มกราคม2534ให้ผู้ร้องฟังแล้วนับแต่วันที่25ธันวาคม2534ผู้ร้องไม่ได้ฎีกาคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบอย่างไรหรือไม่จึงต้องถือเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้นว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่31มกราคม2534ให้ผู้ร้องฟังแล้วตั้งแต่วันที่25ธันวาคม2534การที่ผู้ร้องยื่นฎีกาฉบับลงวันที่8เมษายน2536คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่31มกราคม2534มาดังกล่าวจึงเป็นการยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟังฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา247ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา153ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 653/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นฎีกาเกินกำหนดหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ทำให้ฎีกาไม่รับพิจารณา
เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 30 ธันวาคม 2535ที่วินิจฉัยในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ว่า ผู้ร้องได้อ่านหรือทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2534 แล้ว ตั้งแต่วันที่25 ธันวาคม 2534 จึงให้ถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2534 ให้ผู้ร้องฟังแล้วนับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2534ผู้ร้องไม่ได้ฎีกาคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบอย่างไรหรือไม่จึงต้องถือเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้นว่า ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2534 ให้ผู้ร้องฟังแล้วตั้งแต่วันที่ 25ธันวาคม 2534 การที่ผู้ร้องยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 8 เมษายน 2536 คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2534 มาดังกล่าว จึงเป็นการยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณาตามป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดคดีเนื่องจากการเสียชีวิตของผู้ร้องซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นกรรมการของมูลนิธิ พ.อันเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องถึงแก่กรรม คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (3) ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าคณะจังหวัดในการถอดถอนเจ้าอาวาสและการมีอำนาจฟ้องร้องของเจ้าอาวาส
การถอดถอนเจ้าอาวาสนั้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.2505มาตรา23บัญญัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคมตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่5(พ.ศ.2505)ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการข้อ33ประกอบข้อ23เจ้าคณะจังหวัดมีอำนาจให้พระสังฆาธิการตำแหน่งเจ้าอาวาสออกจากตำแหน่งหน้าที่ได้ดังนั้นคำสั่งคณะสงฆ์ที่ให้โจทก์ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจึงเป็นคำสั่งที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่1ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดตามกฎมหาเถรสมาคมแล้วและคำสั่งคณะสงฆ์ดังกล่าวจำเลยที่1มิได้สั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยแต่ให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะโจทก์หย่อนสมรรถภาพซึ่งเป็นเหตุตามข้อ33แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่5(พ.ศ.2505)ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการเมื่อตามฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าจำเลยที่1มีคำสั่งโดยไม่มีเหตุดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าคำสั่งของจำเลยที่1ที่สั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งหน้าที่เป็นคำสั่งที่มิชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่2เป็นพระสังฆาธิการแล้วให้โจทก์กลับเข้าดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเอง และไม่ได้รับค่าป่วยการ/พาหนะ
จำเลยที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเองมาเป็นพยานได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 106 แม้ตามคำขอให้ศาลออกหมายเรียกจะระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขอแต่เพียงผู้เดียว แต่คำขอก็ระบุรวม ๆ กันว่า ขอให้หมายเรียกพยานจำเลยซึ่งทนายจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในคำร้อง และจำเลยที่ 3 ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 3 มาศาลจึงไม่ใช่พยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียกศาลไม่มีอำนาจกำหนดให้จำเลยที่ 3 ได้รับค่าป่วยการและค่าพาหนะตามตาราง 4ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ค่าป่วยการและค่าพาหนะที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 3 จึงไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความตนเองของจำเลยในฐานะพยาน: สิทธิในการเบิกค่าป่วยการและค่าพาหนะ
จำเลยที่3อ้างตนเองเป็นพยานจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเองมาเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา106แม้ตามคำขอให้ศาลออกหมายเรียกจะระบุว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขอแต่เพียงผู้เดียวแต่คำขอก็ระบุรวมๆกันว่าขอให้หมายเรียกพยานจำเลยซึ่งทนายจำเลยที่3เป็นผู้ลงชื่อในคำร้องและจำเลยที่3ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่1การที่จำเลยที่3มาศาลจึงไม่ใช่พยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียกศาลไม่มีอำนาจกำหนดให้จำเลยที่3ได้รับค่าป่วยการและค่าพาหนะตามตาราง4ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งค่าป่วยการและค่าพาหนะที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จ่ายให้แก่จำเลยที่3จึงไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161วรรคสองโจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่1และที่3
of 200