พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาชดใช้ทุนรัฐบาล: เริ่มนับเมื่อมีสิทธิเรียกร้อง การยอมรับหนี้ไม่เกิดขึ้นจากโทรเลข
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศหกรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนด10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 164เดิมแล้ว
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหนี้จากการค้ำประกันสัญญาทุนการศึกษา: เริ่มนับเมื่อสัญญาครบกำหนดและโจทก์มีสิทธิเรียกร้อง
จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาล ประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532จึงพ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมแล้ว โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน: ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากคำเบิกความที่ไม่มีในสำนวนเป็นเหตุให้ต้องพิจารณาใหม่
โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟ้องข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกินเลยจากสำนวนคดี: ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงที่ไม่ได้มีการนำสืบ
โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5497/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และการฎีกาเมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้ว
โจทก์ทั้งสามฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามและเพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามอยู่ในความดูแลของจำเลยขอให้ยกฟ้อง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์ทั้งสามได้รับจัดสรรจากทางราชการซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม มาตรา 249 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5470/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าปรับและค่าเสียหายจากสัญญาจ้างที่สิ้นสุดลงจากการบอกเลิกสัญญาและการส่งมอบงานที่ใช้งานไม่ได้
ตามสัญญาจ้าง โจทก์มีสิทธิ์เรียกค่่าปรับรายวันในกรณีที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบงานล่าช้า โดยโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะเคยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาจ้างให้โจทก์ แต่ใช้งานไม่ได้โจทก์จึงไม่รับสิ่งของมีผลเท่ากับจำเลยที่่ 1 ไม่เคยส่งมอบสิ่งของให้โจทก์เลยโจทก์จึงเรียกค่าปรับรายวันไม่ได้ การว่าจ้างทำแบบพิมพ์เครื่องอัดเปลือกหม้อและฝ่าหม้อแบตเตอรี่อยู่่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่่ 1 แต่ก่อนทำสัญญาจ้างฝ่ายจำเลยได้เสนอหนังสือรับรองที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์แล้ว โจทก์จึงทราบก่อนทำสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับปฏิบัติตามสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับปฏิบัติตามสัญญาจ้างต่อโจทก์ จึงเป็นการให้สัตยาบันในการทำสัญญานั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งทำสัญญาดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5470/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปรับสัญญาจ้าง, การไม่รับสิ่งของ, การให้สัตยาบัน, ขอบเขตวัตถุประสงค์สัญญา
ตามสัญญาจ้าง โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับรายวันในกรณีที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบงานล่าช้า โดยโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะเคยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาจ้างให้โจทก์ แต่ใช้งานไม่ได้โจทก์จึงไม่รับสิ่งของ มีผลเท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่เคยส่งมอบสิ่งของให้โจทก์เลยโจทก์จึงเรียกค่าปรับรายวันไม่ได้
การว่าจ้างทำแบบพิมพ์เครื่องอัดเปลือกหม้อและฝาหม้อแบตเตอรี่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 แต่ก่อนทำสัญญาจ้างฝ่ายจำเลยได้เสนอหนังสือรับรองที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์แล้ว โจทก์จึงทราบก่อนทำสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับปฏิบัติตามสัญญาจ้างต่อโจทก์ จึงเป็นการให้สัตยาบันในการทำสัญญานั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งทำสัญญาดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวอีก
การว่าจ้างทำแบบพิมพ์เครื่องอัดเปลือกหม้อและฝาหม้อแบตเตอรี่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 แต่ก่อนทำสัญญาจ้างฝ่ายจำเลยได้เสนอหนังสือรับรองที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์แล้ว โจทก์จึงทราบก่อนทำสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับปฏิบัติตามสัญญาจ้างต่อโจทก์ จึงเป็นการให้สัตยาบันในการทำสัญญานั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งทำสัญญาดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและหน้าที่ของผู้ให้เช่าในการจดทะเบียน รวมถึงผลของการผิดสัญญา
สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งโดยผู้ให้เช่ามีหนี้ต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่ามีหนี้ที่จะต้องชำระค่าเช่าเพื่อการนั้น เมื่อผู้เช่าได้ชำระค่าเช่าตามสัญญาแล้ว ผู้ให้เช่าจึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทน ซึ่งรวมถึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันด้วย การที่ผู้ให้เช่าโอนขายที่ดินที่ให้เช่าให้แก่บุคคลภายนอกไปแม้จะก่อนถึงกำหนดเวลาจดทะเบียนการเช่าจึงเท่ากับผู้ให้เช่าไม่ชำระหนี้ตอบแทนตามสัญญา ผู้ให้เช่าจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่อาจยกประโยชน์แห่งเงื่อนเวลามาอ้างได้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าจำนวนเงิน 120,000 บาทให้ ผ.เจ้ามรดกซึ่งเป็นผู้ให้เช่า และเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ผ.จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระเงินดังกล่าวคืนให้โจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก ซึ่งศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด เท่ากับศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นที่ว่าจำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่รวมเข้าไปด้วยแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่าจำเลยยังไม่คืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าจำนวนเงิน 120,000 บาทให้ ผ.เจ้ามรดกซึ่งเป็นผู้ให้เช่า และเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ผ.จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระเงินดังกล่าวคืนให้โจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก ซึ่งศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด เท่ากับศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นที่ว่าจำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่รวมเข้าไปด้วยแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่าจำเลยยังไม่คืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่างตอบแทน ผู้ให้เช่าผิดสัญญาเมื่อไม่จดทะเบียนและขายที่ดินก่อนกำหนด
สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่งโดยผู้ให้เช่ามีหนี้ต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่ามีหนี้จะต้องชำระค่าเช่าเพื่อการนั้น เมื่อผู้เช่าได้ชำระค่าเช่าตามสัญญาแล้วผู้ให้เช่าจึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทน ซึ่งรวมถึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันด้วยการที่ผู้ให้เช่าโอนขายที่ดินที่ให้เช่าให้แก่บุคคลภายนอกไปแม้จะก่อนถึงกำหนดเวลาจดทะเบียนการเช่าจึงเท่ากับผู้ให้เช่าไม่ชำระหนี้ตอบแทนตามสัญญา ผู้ให้เช่าจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่อาจยกประโยชน์แห่งเงื่อนเวลามาอ้างได้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าจำนวนเงิน120,000 บาท ให้ ผ. เจ้ามรดกซึ่งเป็นผู้ให้เช่า และเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ผ.จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระเงินดังกล่าวคืนให้โจทก์แล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก ซึ่งศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด เท่ากับศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นที่ว่าจำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่รวมเข้าไปด้วยแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่าจำเลยยังไม่คืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5360/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำกัดสิทธิการฎีกาในข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์ พร้อมแก้ไขโทษทางอาญา
ฎีกาจำเลยที่ 2 เพียงแต่หยิบยกพยานหลักฐานบางส่วนในสำนวนขึ้นเป็นข้อฎีกา แต่ในการรับฟังพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนประกอบการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจึงวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 2 และในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ก็หาได้นอกเหนือหรือคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใดไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดปลอมเอกสารราชการกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการรับแจ้งการย้ายทะเบียนบ้านของ ก.ให้มีชื่อเข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน และเพิ่มชื่อ ส. เข้าอยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งปลอมใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ก. และ ส. แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบซองเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเท็จของผู้ที่อ้างชื่อ ก. และ ส. ให้จ่าสิบเอก อ. ไปมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการปลอมเอกสารราชการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,161,165 ประกอบมาตรา 86 เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นในการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเพียงสำเนาทะเบียนบ้านและใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 อีก