คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผูกพันคำพิพากษาในคดีก่อน แม้ฝ่ายฟ้องแตกต่างกัน หากประเด็นข้อพิพาทเป็นเรื่องเดียวกัน
คดีก่อนจำเลยได้ฟ้องโจทก์ว่า โจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้รับจำเลยกลับเข้าทำงาน หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินอื่น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยสูญหายไป ขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยดังนี้ เมื่อเหตุที่จำเลยอ้างในคดีก่อนว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมคือโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยจำเลยมิได้กระทำผิดซึ่งโจทก์ก็ให้การในคดีดังกล่าวว่า โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างจำเลยเพราะจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นปัญหาเดียวกันว่า จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไปหรือไม่ จำเลยจึงเถียงข้อเท็จจริงให้ผิดแผกแตกต่างไปจากคดีก่อนมิได้ ต้องฟังว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ขาดบัญชี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2084/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์เปลี่ยนเป็นลักทรัพย์: ศาลลงโทษตามความผิดที่เกิดขึ้นจริง แม้ฟ้องฐานชิงทรัพย์
ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นความผิดที่รวมการกระทำผิดฐานลักทรัพย์อยู่ด้วย แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์แต่เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ศาลย่อมลงโทษฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2078/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: การแบ่งแยกที่ดินหลังการใส่ชื่อทายาทอื่นในเอกสารสิทธิ มิใช่การโอนสิทธิ
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองรับมรดกที่ดินร่วมกันมา โจทก์ทั้งสี่ตกลงให้จำเลยทั้งสองใส่ชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินไว้แทน สิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทายาททุกคนมิใช่ของจำเลยทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสี่มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ทั้งสี่หากฟังเป็นความจริง คำขอบังคับคดีก็เป็นการขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โฉนดที่ดินและการให้ไปในตัว ดังนั้น โจทก์ทั้งสี่จึงไม่จำต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โฉนดที่ดินและการให้เสียก่อน และศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนที่ได้รับมรดกได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2078/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกที่ดินร่วมกัน: คำขอให้แบ่งแยกที่ดินถือเป็นการขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ได้
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองรับมรดกที่ดินร่วมกันมา โจทก์ทั้งสี่ตกลงให้จำเลยทั้งสองใส่ชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินไว้แทน สิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทายาททุกคนมิใช่ของจำเลยทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสี่มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ทั้งสี่หากฟังเป็นความจริง คำขอบังคับคดีก็เป็นการขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำ-ประโยชน์โฉนดที่ดินและการให้ไปในตัว ดังนั้น โจทก์ทั้งสี่จึงไม่จำต้องไปฟ้องขอให้-เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โฉนดที่ดินและการให้เสียก่อน และศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนที่ได้รับมรดกได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2078/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก การครอบครองทำประโยชน์ และอายุความฟ้องแบ่งมรดก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินโดยโจทก์ทั้งสี่และ ส. เจ้ามรดกตกลงให้จำเลยทั้งสองใส่ชื่อไว้แทน แสดงว่าที่ดินมิใช่ของจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสี่และ ส. ให้จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้แทนเท่านั้นสิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทายาททุกคนมิใช่ของจำเลยทั้งสองการที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่หากฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นความจริงแล้ว คำขอบังคับก็เป็นการขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดิน และการให้ไปในตัว โจทก์ทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดินและการให้เสียก่อน ดังนั้น คำพิพากษาที่วินิจฉัยให้จดทะเบียนแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หลังจาก ผ. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม โจทก์บางคนร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา และการที่จำเลยทั้งสองมีชื่อในที่ดินพิพาทเป็นการถือสิทธิและครอบครองแทนทายาทโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของ ส.และผ. ย่อมมีสิทธิฟ้องแบ่งมรดกได้แม้จะฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันใช้ จ้าง วาน ให้ผู้อื่นฆ่า และคำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานสำคัญ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนสอดคล้องกับคำเบิกความของ ร. ว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ขอให้หาคนไปยิงผู้ตายเพราะผู้ตายติดต่อฉันชู้สาวกับ ส. สามีจำเลยที่ 2ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่ารับจ้างจำเลยที่ 2ยิงผู้ตาย โดยจำเลยที่ 3 เป็นคนติดต่อ ประกอบกับผู้ตรวจพิสูจน์มีความเห็นว่าปลอกกระสุนปืนของกลางที่จำเลยที่ 1 นำยึดได้และหัวกระสุนปืนที่ได้จากศพผู้ตายใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 ขณะทำการจับกุมจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ คำให้การดังกล่าวจึงใช้ยันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์แล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 84

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เวลาพักทำงาน: แม้พักไม่ต่อเนื่อง แต่รวมแล้วเกิน 1 ชม. ไม่ถือว่าลูกจ้างถูกเอารัดเอาเปรียบ
จำเลยจัดเวลาพักให้แก่ลูกจ้างเป็น 3 ช่วง คือ 10-10.10 นาฬิกา12.15-13 นาฬิกา และ 15-15.10 นาฬิกา แม้เวลาพักช่วง 10-10.10นาฬิกา และ 15-15.10 นาฬิกา จะเป็นการพักน้อยกว่าครั้งละ 20 นาทีไม่ชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 6 วรรคสอง แต่เวลาที่กำหนดไว้ทั้งสองช่วงดังกล่าว จำเลยกำหนดให้ลูกจ้างได้หยุดพักและอยู่ในระหว่างเวลาทำงาน จึงต้องนับเป็นเวลาพักด้วย เมื่อรวมแล้วเป็นเวลาพักวันละ 1 ชั่วโมง 5 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 6 วรรคแรก กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีเวลาพักเพียงวันละ 45 นาที ทั้งการที่จำเลยกำหนดเวลาพักไม่ถูกต้องก็หาได้มีบทบัญญัติใดกำหนดให้โจทก์เรียกค่าจ้างเพราะเหตุดังกล่าวได้ กรณีมิใช่การกำหนดเวลาพักน้อยกว่าวันละ 1ชั่วโมง อันจะถือว่าจำเลยให้โจทก์ทำงานเกินกว่าเวลาทำงานปกติในแต่ละวัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เวลาพักงาน: แม้เวลาพักแต่ละช่วงไม่ครบ 20 นาที แต่หากรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ไม่ถือว่าลูกจ้างถูกบังคับทำงานเกินเวลา
ศาลแรงงานกลางได้พิพากษายกฟ้องของโจทก์ที่ 14 แล้วจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด อุทธรณ์ของจำเลยสำหรับโจทก์ที่ 14 จึงมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยจัดเวลาพักให้แก่ลูกจ้างเป็น 3 ช่วง คือ10-11.10 นาฬิกา 12.15-16 นาฬิกา และ 15-15.10 นาฬิกาแม้เวลาพักช่วง 10-10.10 นาฬิกา และ 15-15.10 นาฬิกาจะเป็นการพักน้อยกว่าครั้งละ 20 นาที ไม่ชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 6 วรรคสองแต่เวลาทั้งสองช่วงดังกล่าวจำเลยกำหนดไว้ให้ลูกจ้างได้หยุดพักและอยู่ในระหว่างเวลาทำงาน จึงต้องนับเป็นเวลาพักด้วย เมื่อรวมกับเวลาพักช่วง 12.15-13 นาฬิกา แล้วจำเลยกำหนดเวลาพักให้โจทก์แต่ละคนวันละ 1 ชั่วโมง 5 นาทีไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 6 วรรคหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยกำหนดเวลาพักไม่ถูกต้อง ก็หาได้มีบทบัญญัติใดกำหนดให้โจทก์เรียกค่าจ้างเพราะเหตุดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องโดยปริยายและการสิ้นสุดสิทธิในการฎีกาในคดีอาญา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่า จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ก็ตาม ก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในความผิดข้อหานี้แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้คำ-พิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ จึงถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องในข้อหานี้ด้วยความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อหาอาวุธปืน เนื่องจากศาลชั้นต้นและอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว แต่รับวินิจฉัยข้อหาฆ่าผู้อื่นและปล้นทรัพย์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ก็ตามก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในความผิดข้อหานี้แล้วเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ จึงถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องในข้อหานี้ด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
of 200