คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พรชัย สมรรถเวช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อมีการตกลงผ่อนชำระหนี้และปลดจำนอง การคิดดอกเบี้ยหลังวันดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยธรรมดา
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้จึงใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญา การที่โจทก์ตกลงกับจำเลยให้ชำระหนี้เพื่อลดหนี้ลงและปลดจำนองทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันไว้ไปบางรายการและได้มีการชำระหนี้บางส่วนตามที่ตกลงกันไว้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าคู่กรณีไม่ประสงค์จะให้มีการเดินสะพัดบัญชีกันอีกต่อไป สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่มีการชำระหนี้บางส่วนนั้น หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเดินสะพัดสิ้นสุดเมื่อมีการตกลงชำระหนี้ทั้งหมดและปลดจำนอง การคิดดอกเบี้ยทบต้นมีจำกัด
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่บริษัทจำเลยที่ 1 ทำไว้กับธนาคารโจทก์มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้เอาไว้ การที่ผู้จัดการสาขาของโจทก์เรียกให้ ว. ผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1ไปเจรจาเพื่อตกลงกันในเรื่องการผ่อนชำระหนี้ มิฉะนั้นจะถูกธนาคารโจทก์สำนักงานใหญ่ยื่นฟ้อง ว. จึงได้โอนเงินจากบัญชีเงินฝากของ ว.ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งหมดของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้ตกลงกันเพื่อลดหนี้ลงและปลดจำนองทรัพย์สินเฉพาะส่วนของ ว. พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์เรียกร้องให้บริษัทจำเลยที่ 1 ชำระหนี้หลังจากที่หักทอนบัญชีกันแล้วอันแสดงว่าคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันอีกต่อไปแล้วสัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่มีการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันและโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันดังกล่าวหลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช็คและการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บริษัทหลักทรัพย์ กรณีเช็คไม่มีเงินจ่าย
การที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ส่วนโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 หรือไม่เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คและการมีอำนาจร้องทุกข์ของผู้ทรงเช็ค
การที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย โจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ส่วนโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 46 หรือไม่เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คชำระหนี้ค่าหุ้น ผู้ทรงเช็คมีอำนาจร้องทุกข์ แม้บริษัทหลักทรัพย์ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย โจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 หรือไม่ เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท และการฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก โจทก์ฎีกาว่าเอกสารสัญญากู้เป็นเอกสารที่ถูกต้องเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องในคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดข้อเท็จจริง เพียงแสดงสภาพแห่งข้อหาให้ชัดเจนก็เพียงพอ
ในการบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าจะต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น หาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดไม่ คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อโดยปราศจากความระมัดระวังและเป็นเหตุให้ชนเฉี่ยวรถของโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำทางภาระจำยอม: ประเด็นต่างกัน แม้คดีก่อนอ้างเหตุเดียวกัน ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่าง
คดีก่อนศาลวินิจฉัยว่า ทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องเดิมเป็นลำรางสาธารณะต่อมาตื้นเขินกลายเป็นทาง โจทก์ทั้งสี่จึงอ้างว่าได้ภาระจำยอมไม่ได้ แต่คดีนี้มีประเด็นว่าทางกว้างประมาณ2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ ประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยในคดีนี้ จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงมิใช่ฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องภาระจำยอมซ้ำ: ประเด็นต่างกัน, ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้ใช้เหตุจากลำรางสาธารณะเดียวกัน
คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภาระจำยอมอ้างว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่าทางพิพาทเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขินจึงไม่อาจอ้างว่าได้ภาระจำยอมคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยอ้างว่าทางสาธารณะซึ่งเดิมเป็นลำรางนั้นกว้างเพียง 1.8 เมตร แต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางผ่านเข้าออกเป็นเวลากว่า10 ปี ทางกว้าง 2 เมตรจึงเป็นทางภาระจำยอม ดังนี้ประเด็นในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ 2 เมตรยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินจำเลยเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.8 เมตร จำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าทางสาธารณะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำทางภารจำยอม: ประเด็นต่างกัน แม้ใช้ที่ดินแปลงเดียวกัน ศาลล่างพิพากษาคลาด
คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภารจำยอมอ้างว่าได้ภารจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่าทางพิพาทเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขินจึงไม่อาจอ้างว่าได้ภารจำยอมคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยอ้างว่าทางสาธารณะซึ่งเดิมเป็นลำรางนั้นกว้างเพียง 1.80 เมตรแต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางเข้าออกเป็นเวลากว่า 10 ปี ทางกว้าง 2 เมตรจึงเป็นทางภารจำยอม ดังนี้ประเด็นในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินจำเลยเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.80 เมตรจำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าทางสาธารณะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
of 200