พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าเนื่องจากมีการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงต่อภริยาและบุพการีถือเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้
จำเลยด่าว่าภริยาและมารดาของภริยาต่อหน้าบุคคลอื่นว่า"ซื้อหมาอ้วนมาตัวหนึ่งราคา 100,000 บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอนอยู่แต่หน้าเตา โคตรเง่าเหล่าอีหมวยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว"คำว่าหมาอ้วนหมายถึงภริยาส่วนคำว่าอีหม่วยหรืออีม่วยหมายถึงมารดาของภริยา ถ้อยคำของจำเลยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทภริยาและบุพการีของภริยาอย่างร้ายแรงตามกฎหมายแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นภริยาจึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าเนื่องจากคำพูดดูหมิ่นเหยียดหยาม โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
จำเลยด่าโจทก์และมารดาโจทก์ว่า "ซื้อหมาอ้วนตัวหนึ่ง ราคา100,000 บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอนอยู่แต่หน้าเตา โคตรเง่าเหล่าอีหม่วยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว"คำว่าหมาอ้วน หมายถึง โจทก์คำว่า อีหม่วย หมายถึง มารดาโจทก์เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และบุพการีโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการทรัพย์มรดกโดยผู้จัดการมรดก การขายทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งเงินให้ทายาท ไม่ถือเป็นความผิดอาญาหากไม่มีเจตนาทุจริต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ผู้ตายต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ ว. โดยไม่ได้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปด้วยวิธีการอันไม่สุจริตหรือมีเจตนาที่จะเบียดบังเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไว้โดยทุจริตอย่างไร ทั้งก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่เคยทวงถามจำเลยให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทำการขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปนั้น จึงเป็นวิธีเกี่ยวกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719,1750 คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้เดิมและหนี้ใหม่, ความรับผิดของตัวแทนเชิด, และดอกเบี้ยผิดนัด
การแปลงหนี้ใหม่ต้องปรากฏว่าคู่กรณีมีเจตนาแปลงหนี้ใหม่ด้วย การที่จำเลยให้คำรับรองหรือรับสภาพหนี้เก่าว่าจะชำระหนี้ให้นั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์หลังขายฝาก: เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์แม้มีการขายฝากหลังมีคำพิพากษา หากการขายฝากเป็นนิติกรรมสมยอม
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านของจำเลยซึ่งได้ขายฝากไว้กับบุคคลภายนอกแต่เป็นการขายฝากภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินและบ้าน ดังนี้เมื่อในการยึด โจทก์อ้างว่าที่ดินและบ้านเป็นทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจดทะเบียนขายฝากโดยสมยอมกับบุคคลภายนอกและโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินรายนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องยึดทรัพย์ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งให้ถอนการยึดหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ถอนการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันที่แท้จริงคือสัญญาให้โจทก์เป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้เดิม ทำให้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา
โจทก์ทั้งสองนำโฉนดที่ดินไปจำนองไว้แก่ธนาคารเพื่อเป็นประกันหนี้ของ ฐ. โดยจำเลยและจำเลยร่วมทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการจำนองไว้ต่อโจทก์ทั้งสองมีข้อความสำคัญว่า จำเลยและจำเลยร่วมยอมร่วมรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับ ฐ.หากฐ.ผิดสัญญาไม่ไถ่ถอนจำนองให้โจทก์ทั้งสอง จำเลยและจำเลยร่วมยอมรับผิดชอบไถ่ถอนให้ และยินดีชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการจำนองให้โจทก์ทั้งสอง เช่นนี้ โจทก์ทั้งสองมีฐานะเป็นลูกหนี้ของธนาคารหาใช่เจ้าหนี้ของ ฐ. สัญญาที่จำเลยและจำเลยร่วมทำกับโจทก์จึงไม่ใช่สัญญาค้ำประกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680แต่เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่บังคับระหว่างคู่กรณีกันได้ตามกฎหมายเมื่อฐ. ไม่ชำระหนี้แก่ธนาคาร โจทก์ทั้งสองจึงนำเงินชำระหนี้แทนฐ.และไถ่ถอนจำนองแล้ว ซึ่งทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยและจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน vs. สัญญาผูกพัน - ความรับผิดตามสัญญาไถ่ถอนจำนอง
จำเลยและจำเลยร่วมทำสัญญากับโจทก์ว่า ตามที่โจทก์นำโฉนดที่ดินไปจำนองไว้แก่ธนาคาร เพื่อค้ำประกันหนี้ของบริษัท ฐ. มีกำหนดเวลา 1 ปี โดยจำเลยและจำเลยร่วมยอมรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับบริษัท ฐ.หากบริษัทฐ.ผิดสัญญาไม่ไถ่ถอนจำนองให้โจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมยอมรับผิดชอบยินดีไถ่ถอนให้และยินดีชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการจำนองให้โจทก์เช่นนี้ โจทก์เป็นเพียงผู้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของบริษัท ฐ.ลูกหนี้ของธนาคารเจ้าหนี้ โจทก์จึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ของธนาคารหาใช่เจ้าหนี้ของบริษัท ฐ. ไม่ ดังนั้นสัญญาที่จำเลยและจำเลยร่วมทำกับโจทก์จึงไม่เป็นสัญญาค้ำประกัน แต่เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่คู่กรณีอาจทำผูกพันและใช้บังคับระหว่างกันได้ตามกฎหมายเมื่อบริษัท ฐ. ไม่ชำระหนี้แก่ธนาคาร โจทก์จึงนำเงินชำระหนี้แทนบริษัท ฐ.และไถ่ถอนจำนองแล้วถือได้ว่าบริษัทฐ.ไม่ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองให้โจทก์ตามที่จำเลยและจำเลยร่วมได้ให้สัญญาไว้ต่อโจทก์ซึ่งทำให้โจทก์เสียหายจำเลยและจำเลยร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา: การพิจารณาจากร่องรอยบาดแผลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้เสียหายอายุ 13 ปีเศษ ไม่เคยเสียตัว ผลการตรวจร่างกายของผู้เสียหายหลังจากเกิดเหตุ 6 วันไม่พบร่องรอยใด ๆ ที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย ทั้งได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยกอดจูบและพยายามเอาอวัยวะเพศของจำเลยใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแต่ไม่ทันเข้ามีคนมาเคาะประตูเสียก่อนแสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยทิ่มแทงบริเวณปากช่องคลอดของผู้เสียหายเท่านั้น การที่อวัยวะเพศของจำเลยยังไม่ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยยังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายไม่สำเร็จ การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้เกิน 20 วัน
จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 1 ใช้มีดฟันถูกฝ่ามือข้างซ้ายบริเวณโคนนิ้วก้อยและนิ้วนางของโจทก์ร่วม ทำให้เอ็นนิ้วก้อยและนิ้วนางขาด และเส้นประสาทขาด โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่นานถึง 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ยังไม่สามารถใช้นิ้วมือนับธนบัตรได้ตามหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามปกติ เป็นกรณีที่โจทก์ร่วมไม่สามารถประกอบกรณียกิจตามปกติได้เกินกว่ายี่สิบวัน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8),83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยข้อกฎหมาย ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย มีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก