พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4482/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษจำเลยโดยศาลฎีกาหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯพ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง โดยให้ปรับจำเลย 100 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายก็ตาม แต่ปรากฏว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยได้ไม่เกินโทษ ที่ศาลชั้นต้นวางไว้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4482/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าและพกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ ศาลฎีกาแก้โทษตามบทบัญญัติกฎหมาย
แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคสองและมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง โดยให้ปรับจำเลย 100 บาทซึ่งต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายก็ตาม แต่ปรากฏว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยได้ไม่เกินโทษ ที่ศาลชั้นต้นวางไว้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องต้องชัดเจนถึงเหตุรับผิด ศาลมิอาจพิพากษาเกินกว่าที่ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสี่ร่วมกับ ก.ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยสมคบร่วมกันขุดหน้าที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้โจทก์เสียหายเท่านั้น มิได้บรรยายฟ้องถึงว่า จำเลยที่ 3ผู้เป็นลูกจ้างได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2อันจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดดังกล่าว จึงเป็นการบรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา หรือเหตุที่จะต้องรับผิดเฉพาะการที่ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างและจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดดังกล่าวนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ แม้มีข้อจำกัดในการโอน หากผู้ให้เช่ายินยอม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน แม้ตามสัญญาระหว่างจำเลยผู้เช่ากับวัดผู้ใช้เช่า จะห้ามมิให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าไปยังบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากวัด ก็ไม่ใช่ทรัพย์สิน ที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะหากวัดผู้ให้เช่ายินยอมก็สามารถ โอนกันได้ ทั้งไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ ในความรับผิดแห่งการบังคดีดังนั้น สิทธิการเช่าของจำเลยจึงมิใช่ ทรัพย์ที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ หากผู้ให้เช่ายินยอม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน แม้สัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าจะห้ามมิให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าไปยังบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าก็ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะหากผู้ให้เช่ายินยอมโอนกันได้ ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบัญญัติว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี สิทธิการเช่าจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3981/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจหน้าที่ผู้อำนวยการ, การจ้างช่วง, การรับผิดในความเสียหาย, ตัวแทนช่วง, การคืนเงินผู้สมัครงาน
การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการของเจ้าหนี้นำงานพิมพ์ไปให้สหกรณ์กลาโหม จำกัด รับจ้างช่วง โดยไม่ได้จัดทำสัญญาจ้างตามแบบที่กำหนดจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าเป็นตั๋วแลกเงินเต็มจำนวนค่าจ้าง และจ่ายเงินค่าจ้างแต่ละครั้งเกิน 300,000 บาท เป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. 2504 และข้อบังคับว่าด้วยการมอบอำนาจและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการ พ.ศ. 2496ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยปราศจากอำนาจ และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812เจ้าหนี้จึงขอรับชำระหนี้ส่วนนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 มีอำนาจตั้ง ส. เป็นตัวแทนช่วงให้ดำเนินกิจการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศได้ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 มาตรา 22และข้อบังคับว่าด้วยการมอบอำนาจและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการพ.ศ. 2496 ข้อ 7 เมื่อไม่ปรากฏว่า ส. เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินกิจการดังกล่าวแทนเจ้าหนี้ หรือเป็นผู้ไม่สมควรไว้วางใจจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในการที่เจ้าหนี้ต้องคืนเงินที่ ส. เรียกรับเอาไปให้แก่ผู้สมัครงาน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3843/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนคณะกรรมการสภาองค์การลูกจ้างแรงงานฯ ไม่ใช่สาระสำคัญ มติแก้ไขข้อบังคับชอบด้วยกฎหมายหากสมาชิกมีสิทธิ
การจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นเพียงวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น และตามข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ก็กำหนดไว้เพียงว่าให้คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิก ในที่ประชุมใหญ่ โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารที่ได้รับเลือกตั้งไปจดทะเบียน ดังนั้น แม้จะไม่ได้ นำรายชื่อคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531 ถึง 2534ที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ไปจดทะเบียน ก็ถือได้ว่าเป็น คณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีอำนาจพิจารณารับสมาชิกได้โดยชอบสมาชิกที่เข้าเป็นสมาชิกระหว่างคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531 ถึง 2534 จึงเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมีสิทธิ เข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญและมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้ ดังนั้น มติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 จึงเป็นมติที่ ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3843/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนกรรมการบริหารสภาองค์การลูกจ้างฯ การแก้ไขข้อบังคับ และสิทธิสมาชิกที่ชอบด้วยกฎหมาย
อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในประเด็นที่ว่า จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ตามคำขอของ จ. ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม2535 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 4 ที่ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับดังกล่าว โดยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ฟ้อง และขอให้บังคับจำเลยในประเด็นนี้ด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในส่วนที่เป็นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1ถึงที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 การจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นเพียงวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น และตามข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ข้อ 19ก็กำหนดไว้เพียงว่า ให้คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกในที่ประชุมใหญ่ ไม่มีข้อกำหนดให้ต้องนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารไปจดทะเบียน ดังนั้นแม้จะไม่ได้นำรายชื่อคณะกรรมการบริหารไปจดทะเบียน ก็ถือได้ว่าเป็นคณะกรรมการบริหารที่ชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจพิจารณารับสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และสมาชิกดังกล่าวมีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญทั้งมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้มติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ และระยะเวลาต่อเนื่อง 10 ปี
การที่ผู้ร้องกับพวกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินพิพาท ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ผู้ร้องทั้งสองจะอ้างว่า ได้โต้แย้งคัดค้านที่ผู้คัดค้านนำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดชี้เขตเข้ามาในที่ดินพิพาทเมื่อปี 2529 อันอาจถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้บอกกล่าวให้ผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินทราบว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้านทั้งสามแล้ว แต่เมื่อนับจากวันดังกล่าวถึงวันยื่นคำร้องคดีนี้ยังไม่ครบกำหนด 10 ปี ผู้ร้องทั้งสองจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3488/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดในคดีล้มละลาย: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นการเป็นคู่ความก่อนเวลาอันควร
โจทก์ฟ้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยขอเข้าเป็นคู่ความในฐานะผู้คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาจึงไม่รับผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ในชั้นพิจารณาคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว ไม่มีประเด็นแห่งคดีที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้ร้องจะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ดังที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ไว้หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องโดยอ้างเหตุว่าเพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกไม่อาจร้องสอดเข้ามาในคดี มีผลเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีที่ว่าผู้ร้องจะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้หรือไม่ แล้วนำข้อวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวมาเป็นเหตุยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ และคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถึงที่สุด ทั้งนี้ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ผู้ร้องมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153