พบผลลัพธ์ทั้งหมด 564 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยทางจราจร: การเฉี่ยวชนเนื่องจากรถบังสายตาและระยะเบรก
ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีแรงงาน: เหตุสุดวิสัย-การไต่สวน-สิทธิในการให้การ
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้อ้างถึงข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุและความจำเป็นที่มิได้ยื่นคำให้การและมาศาลในวันนัดพิจารณาว่า เนื่องจากไม่ทราบว่าถูกฟ้องและไม่ทราบวันนัดเนื่องจากจำเลยไปรักษาพยาบาลมารดาอยู่ต่างจังหวัด ในระหว่างวันที่ถูกฟ้องถึงวันที่ศาลชี้ขาดตัดสินคดีและมีการส่งคำบังคับ เพิ่งมาทราบเรื่องที่ถูกฟ้องและบังคับคดีหลังจากจำเลยออกโรงพยาบาลและกลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ดังนี้ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอ้างแล้วจำเลยก็ย่อมไม่สามารถมาแถลงให้ศาลแรงงานกลางทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ภายในกำหนด 7 วัน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 ได้กรณีเช่นนี้ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีโดย อนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลแรงงานกลางต้องไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยและมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องต้องชัดเจนและให้เหตุผล หากไม่ทำ ถือว่ายอมรับข้ออ้างของโจทก์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออก จำเลยที่ 3เป็นผู้สลักหลัง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์แต่เพียงในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์โดยไม่สุจริต และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริต แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับตามฟ้อง ดังนี้ไม่จำต้องให้คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่คดีอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องต้องระบุเหตุ หากไม่ระบุ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่ถูกฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง เป็นบทบังคับว่าจำเลยจะยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนก็ได้ แต่จำเลยจะต้องให้เหตุแห่งการยอมรับหรือปฏิเสธนั้น โดยเฉพาะการปฏิเสธฟ้องของโจทก์ไม่ว่าปฏิเสธทั้งสิ้นหรือบางส่วนจำเลยจำเป็นจะต้องให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ เท่ากับจำเลยจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงไว้ในคำให้การเพื่อตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทมิฉะนั้นจำเลยจะไม่มีประเด็นอะไรให้นำสืบตามหน้าที่ของจำเลยได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คโดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลัง มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามเช็ค จำเลยทั้งสองให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ เช็คตกไปอยู่ในครอบครองของโจทก์โดยไม่สุจริต โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยใช้สิทธิไม่สุจริตและโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย คำให้การของจำเลยทั้งสองปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์แต่เพียงในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ ตกไปอยู่ในครอบครองของโจทก์โดยไม่สุจริต และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริต แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1ไม่ได้ออกเช็ค จำเลยที่ 2 ไม่ได้สลักหลังเช็คและธนาคารผู้จ่ายไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คหรือไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิเสธในข้อเหล่านี้ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็ค เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องให้คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่คดีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องต้องระบุเหตุ หากไม่ระบุ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง
การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ไม่ว่าปฏิเสธทั้งสิ้นหรือบางส่วนจำเลยต้องให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ เท่ากับจำเลยจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงไว้ในคำให้การเพื่อตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาท มิฉะนั้นจำเลยจะไม่มีประเด็นอะไรให้นำสืบตามหน้าที่ของจำเลยได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 จำเลยให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ อีกทั้งไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ออกเช็ค จำเลยที่ 2 ไม่ได้สลักหลังเช็ค และธนาคารผู้จ่ายไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็ค จำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้แล้ว ไม่จำต้องให้คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่คดีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2469/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบเพื่อหักล้างข้อต่อสู้ของจำเลย ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญา
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์เพื่อไม่ให้โจทก์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์ขอแบ่งจากจำเลย โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินนั้นแล้ว โจทก์จำเลยมิได้พิพาทเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวแต่พิพาทกันว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องมีมูลหนี้หรือไม่ การที่โจทก์นำสืบว่ามารดาโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเพียงเพื่อต้องการให้จำเลยสามารถนำที่ดินไปจำนองธนาคารได้นั้นเป็นการนำสืบเพื่อหักล้างข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าสัญญากู้เงินไม่มีมูลหนี้เท่านั้น หาเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหนังสือสัญญาให้ที่ดินฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 94 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2431/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ้างงานต่อเนื่องหลังสัญญาหมดอายุ และสิทธิค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง
สัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสิ้นสุดลงแล้วลูกจ้างยังทำงานให้แก่นายจ้างเรื่อยมา โดย นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แต่มิได้ทำสัญญาจ้างกันเป็นหนังสือ การจ้างลูกจ้างต่อมาจึงเป็นการจ้างที่มิได้กำหนดระยะเวลากันไว้ว่าจะจ้างกันนานเท่าใด ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าก็อาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 เมื่อนายจ้างได้แจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าตามบทบัญญัติดังกล่าวว่าการจ้างสิ้นสุดลงจึงเป็นการให้ลูกจ้างออกจากงานโดย ที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานอันเป็นการเลิกจ้างโจทก์ตามข้อ 46 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย ข้อ 7 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) กรณีมิใช่เป็นการจ้างลูกจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นงานตามโครงการซึ่งนายจ้างและลูกจ้างตกลงทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือโดย มีกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้างไว้และเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดแล้วแต่งานยังไม่แล้วเสร็จนายจ้างและลูกจ้างตกลงต่อสัญญาจ้างกันอีกโดย ระยะเวลาการจ้างทั้งสิ้นรวมแล้วไม่เกินระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับแรกตามข้อ 46 วรรคสามลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2234/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนรถยนต์ของกลาง ผู้ให้เช่าซื้อไม่รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของผู้เช่าซื้อ
แม้ ส. พยานผู้ร้องมิได้เบิกความว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย แต่จากคำเบิกความของส. ก็แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย นอกจากนั้นผู้ร้องยังได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังจำเลย ผู้เช่าซื้อหลังจากที่จำเลยทั้งสองได้นำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์ก็ไม่มีมานำสืบให้ฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรถยนต์ของกลางคืน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการก่อสร้าง: การตัดรากต้นไม้ใกล้ท่อระบายน้ำทำให้ต้นไม้ล้มทับคน
จำเลยที่ 2 รับจ้างเทศบาลจำเลยที่ 1 ก่อสร้างทางระบายน้ำจำเลยที่ 2 ขุดดินวางท่อระบายน้ำตามแนวที่วิศวกรผู้ควบคุมงานของจำเลยที่ 1 กำหนดให้โดยแนวอยู่ห่างจากต้นหางนกยูงเพียงประมาณ20 เซนติเมตร มีการตัดรากของต้นหางนกยูงด้านที่อยู่ใกล้กับบ่อพักท่อระบายน้ำนั้นออก ต้นหางนกยูงมีลำต้นขึ้นเอียงไปทางถนนโดยทำมุมกับถนนประมาณ 45 ถึง 60 องศา ก่อนเกิดเหตุแล้วและไม่มีรากแก้วคงมีแต่รากฝอยการที่จำเลยที่2ตัดรากของต้นหางนกยูงด้านที่อยู่ติดกับบ่อพักน้ำโดยที่ต้นหางนกยูงเอียงไปทางถนนทำมุมกับถนนอยู่แล้ว จำเลยที่ 2 ควรจะคาดเห็นได้ว่าจะทำให้ต้นหางนกยูงล้มลงได้ แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้หาทางป้องกันมิให้ต้นหางนกยูงล้มลง การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความประมาทที่ต้นหางนกยูงล้มทับผู้ตายทำให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิด วิศวกรผู้ควบคุมงานของจำเลยที่ 1 เป็นผู้กำหนดแนววางท่อระบายน้ำให้จำเลยที่ 2 โดยกำหนดแนวให้อยู่ห่างจากต้นหางนกยูงที่ล้มลงเพียงเล็กน้อย เป็นผลให้การขุดดินวางท่อระบายน้ำของจำเลยที่2 ต้องตัดรากของต้นหางนกยูงที่ล้มลงออกด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 ก่อสร้างวางท่อระบายน้ำเป็นผู้ผิดในคำสั่งที่จำเลยที่ 1 ให้ไว้และต้องร่วมกับจำเลยที่ 2รับผิดเพื่อความเสียหายที่จำเลยที่ 2 ได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายและการคำนวณหนี้ที่ถูกต้อง ศาลฎีกาตัดสินให้ใช้ยอดหนี้ที่คำนวณใหม่
หนี้ตามสัญญากู้ฉบับใหม่รวมหนี้เงินกู้เดิมเข้าไปจำนวน87,150 บาท แต่หนี้จำนวน 87,150 บาทรวมดอกเบี้ยที่เกินอัตราอยู่ด้วย และไม่สามารถแยกดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะออกมาเพื่อให้ทราบต้นเงินกู้เดิมได้ จึงหาอาจนำหนี้จำนวน 87,150 บาท หรือต้นเงินกู้เดิมที่แน่นอนมารวมเป็นยอดหนี้เงินกู้ใหม่เพื่อให้จำเลยรับผิดได้ไม่.