คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เทพฤทธิ์ ศิลปานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 564 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกใหม่ กรณีผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมปฏิเสธหน้าที่
เมื่อคำร้องของผู้ร้องระบุชัดว่า ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม ปฏิเสธที่จะจัดการมรดกเป็นกรณีที่ผู้จัดการมรดกไม่เต็มใจที่จะ จัดการมรดกโดยไม่เข้ารับหน้าที่ผู้จัดการมรดก จึงชอบที่ผู้ร้อง จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกใหม่เพื่อจัดการมรดกต่อไป ผู้ร้องไม่อาจมาร้องขอถอนผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 เพราะการถอนผู้จัดการมรดก มาตรา 1727 นี้เป็นเรื่องที่ ผู้จัดการมรดกเข้ารับตำแหน่งแล้วละเลยไม่จัดการมรดกตามหน้าที่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของหุ้นส่วน vs. ตัวแทน และข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัย กรณีผู้ขับไม่มีใบอนุญาต
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจาก พ. เป็นผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งพอถือได้ว่าโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะที่ พ. เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่อาจแปลว่ามุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนของ พ.ด้วยเมื่อจำเลยที่1ให้การต่อสู้คดีว่าพ.ไม่ใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานเพียงว่า พ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน คดีจึงมีประเด็นพิพาทในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 เพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนกับ พ.และ พ. ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรมธรรม์ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนมีเงื่อนไขยกเว้นไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ตามกฎหมายหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมาย แต่ พ.ซึ่งขับรถคันที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจ ย่อมมีความรู้ความสามารถในการขับรถยนต์ได้ แม้ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของกรมการขนส่งทางบก ก็จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในฐานะหุ้นส่วนนอกประเด็น และการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยเมื่อผู้ขับขี่มีใบอนุญาต
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจากพ. เป็นผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิด ในฐานะที่ พ. เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่อาจแปลว่ามุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนของ พ. ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า พ. ไม่ใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานเพียงว่า พ. เป็นลูกจ้างของจำเลย ที่ 1 และกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ โจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน คดีจึงมีประเด็นพิพาทในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 เพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลย ที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนกับ พ.และพ. ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขยกเว้นไม่คุ้มครองความรับผิด อัน เกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ตาม กฎหมายหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมาย การมีเงื่อนไขดังกล่าว ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีความสามารถทำการขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยเพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น เมื่อ พ. ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจย่อมมีความรู้ความสามารถในการขับรถยนต์ได้ แม้ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของกรมการขนส่งทางบก ก็จะถือว่า เป็นการผิดเงื่อนไข ในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนฝ่ายชนะคดีและการไม่ขาดอายุความฟ้องเรียกคืนการครอบครอง
โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรกัน จำเลยจึงยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ ต่อมาคดีอาญาที่จำเลยฟ้องภริยาโจทก์ ในข้อหาบุกรุกที่พิพาทนั้น ศาลยกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญาต้องถือว่า เป็นการครอบครองแทนฝ่ายโจทก์ผู้ชนะคดี จำเลยจะอ้างเป็นการครอบครอง โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนและอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครอง ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยผู้แทนและผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องคืนจากการครอบครองปรปักษ์
ที่พิพาทของโจทก์มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรโดยโจทก์เป็นฝ่ายลงทุนค่าใช้จ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้แทนของโจทก์และคดีอาญาที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้อง ส. ภริยาโจทก์ข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์นั้น ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญา ก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์สามี ส.ผู้ชนะคดี จำเลยจะถือว่าการครอบครองที่พิพาทของตนระหว่างนั้นเป็นการครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ และจะอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา 1375 ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้เช่นกัน โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ: สัญญาเป็นโมฆะเมื่อคู่สัญญาถูกฉ้อฉลขณะวิกลจริต
คดีปรากฏตามฟ้องของโจทก์เองว่า จำเลยล้มป่วยเป็นโรคผิดปกติทางประสาทและจิต และแพทย์ลงความเห็นว่า จำเลยมีอาการโรคจิตอย่างร้ายแรงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ และในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งเป็นเวลาภายหลัง โจทก์ยื่นฟ้องเพียงเดือนเดียว จำเลยก็ไม่มีทนายความ ตามคำแก้อุทธรณ์และฎีกาโจทก์ก็ไม่ได้โต้เถียงว่ามิได้ปิดบังลอบพาจำเลยไปศาล ได้แต่โต้แย้งว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยมีความรู้สึกผิดชอบดีทุกประการ ซึ่งก็ขัดกับข้ออ้างที่โจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่าดังกล่าว พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องแล้วใช้อุบายพาจำเลยซึ่งวิกลจริตไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นกรณีที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปเพราะถูกโจทก์ฉ้อฉลจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนสัญญานั้นและคำพิพากษาตามยอมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินเนื่องจากการฉ้อฉลต้องเกิดขณะที่มีหนี้สินอยู่ก่อน มิเช่นนั้นขาดสิทธิเรียกร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 3 โอนให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุตรชายโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่ตามคำร้องมิได้บรรยายว่าลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้รายใดเสียเปรียบ จึงต้องถือว่าผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนซึ่งจะทำให้โจทก์เสียเปรียบรายเดียวเท่านั้น และการร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้ความว่าลูกหนี้ต้องเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อน หรือขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมอันจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เพิ่งเป็นหนี้โจทก์หลังจากได้จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านไปแล้วถึง 3 ปี ขณะที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 3 ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินจากการฉ้อฉล ต้องเกิดก่อนหรือขณะที่ลูกหนี้มีหนี้เจ้าหนี้
คำร้องของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องได้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 3 โอนให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่ตามคำร้องมิได้บรรยายว่าลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้รายใดเสียเปรียบ จึงต้องถือว่าผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนซึ่งทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบรายเดียวเท่านั้น ซึ่งการร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้ความว่าลูกหนี้ต้องเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนหรือขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมอันจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านไป เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2525 แต่จำเลยที่ 3 เพิ่งเป็นลูกหนี้โจทก์เมื่อปี 2528 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินให้ผู้คัดค้านแล้วถึง 3 ปี ขณะที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นโจทก์จึงยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 3ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะร้องขอให้เพิกถอนการโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินโดยฉ้อฉลต้องมีหนี้เกิดขึ้นก่อนหรือขณะทำนิติกรรม และเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบโดยตรง
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ลูกหนี้โอนให้แก่ผู้คัดค้าน โดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 โดย มิได้บรรยายคำร้องว่า ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็น ทางให้เจ้าหนี้รายใดเสียเปรียบ ต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ขอให้เพิกถอนการโอนซึ่งทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบรายเดียวเท่านั้น และต้องได้ความว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนหรือขณะที่ลูกหนี้ ทำนิติกรรมอันจะเป็นการให้เจ้าหนี้เสียเปรียบด้วยเมื่อลูกหนี้ โอนที่ดินให้ผู้คัดค้านแล้ว ถึง3 ปี จึงจะมาเป็นลูกหนี้โจทก์ ขณะโอนโจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของลูกหนี้ ดังนั้น แม้ลูกหนี้ จะโอนที่ดินไปโดยไม่มีค่าตอบแทนก็ตามผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิร้องขอให้ เพิกถอน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย: ศาลลงโทษตามบทที่โจทก์ขอ หรือบทที่มีอัตราโทษเบากว่าได้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสนั้น ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในหมวดเดียวกัน องค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำก็เป็นอย่างเดียวกันต่างกันตรงผลแห่งการกระทำเท่านั้น คือถ้าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ก็เป็นความผิดตามมาตรา 297 มีผลให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษหนักขึ้น เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมรับอันตรายสาหัสเพียงแต่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของโจทก์ร่วมเท่ากัน แม้โจทก์จะไม่ได้อ้างมาตรา 295 เป็นบทลงโทษมาด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยตามมาตรา 295ซึ่งอัตราโทษเบากว่าได้
of 57