คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุนพ กีรติยุติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 763 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาเพื่อหวงกันถือครอง เป็นการยึดถือที่ดินของรัฐ มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม.และพ. ตลอดแนวเมื่อพ. กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของพ.ปลัดอำเภอที่ดินอำเภอและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของพ. แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไปครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการจึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครองการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดที่ดินของรัฐจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา9,108ทวิวรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาแสดงความเป็นเจ้าของ ถือเป็นการยึดถือที่ดินของรัฐ มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม. และพ.ตลอดแนวเมื่อพ.กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของพ. ปลัดอำเภอที่ดินอำเภอและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของพ. แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไปครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการจึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครองการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดถือที่ดินของรัฐจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา9,108ทวิวรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาถือครองเข้าข่ายยึดครองที่ดินของรัฐ
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม.และพ.ตลอดแนวเมื่อพ. กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของ พ.ปลัดอำเภอ ที่ดินอำเภอ และคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของ พ.แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไป ครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการ จึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครอง การกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดที่ดินของรัฐ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาถือครอง ยึดถือที่ดินของรัฐ
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านซึ่งติดกับที่ดินของ ม.และ พ.ตลอดแนว เมื่อ พ.กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของ พ.ปลัดอำเภอ ที่ดินอำเภอ และคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของ พ. แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของ ส. แม่ยายจำเลย หากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไป ครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการ จึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครอง การกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดถือที่ดินของรัฐ จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.ที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายและการเพิกถอนนิติกรรมจำนอง
โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยยังมิได้กรอกข้อความต่อมาจำเลยที่ 1 กรอกข้อความว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจในการยื่นคำขอจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ในหนังสือมอบอำนาจโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วนำไปจดทะเบียนขายให้แก่จำเลยที่ 1 กับนำไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 ดังนี้ นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และไม่มีสิทธิเอาที่ดินพิพาทไปจำนองจำเลยที่ 2 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมโอนและจำนองที่ดินเป็นโมฆะจากเจตนาทุจริต ผู้รับจำนองไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ ลงลายมือชื่อใน หนังสือมอบอำนาจโดยยังไม่กรอกข้อความจำเลยที่1นำหนังสือมอบอำนาจนั้นไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่1เป็นผู้มีอำนาจยื่นคำขอจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่1โดยโจทก์ไม่รู้เห็นด้วยนิติกรรมการโอนเกิดขึ้นจากการทุจริตจึงตกเป็น โมฆะ ถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ฉะนั้นการที่จำเลยที่2รับจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่1จึงไม่เกิดผลให้จำเลยที่2มีสิทธิตามนิติกรรมจำนองโจทก์จึงมีสิทธิขอให้ เพิกถอนนิติกรรม จำนองระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดคุณสมบัติทนายความและการเพิกถอนกระบวนการพิจารณา
น. เป็นผู้ที่ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความชั้นหนึ่งอยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 ใช้บังคับ ดังนั้นใบอนุญาตดังกล่าวจึงมีอายุใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2528 ตามที่พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ หาก น. ประสงค์จะทำการเป็นทนายความต่อไป จะต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันก่อนวันที่ใบอนุญาตฉบับเดิมสิ้นอายุ แต่ น. มิได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นการขาดต่อใบอนุญาตตามมาตรา 39 วรรคสอง
การที่ น. ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความอยู่ก่อนแล้วตามมาตรา 40 (3) ทำการเป็นทนายความของจำเลยในศาลชั้นต้นต่อแต่นั้นมา ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 33กระบวนพิจารณาที่ น.ดำเนินการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ น. จะได้ยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความ และนายทะเบียนสภาทนายความได้รับใบคำขอดังกล่าวไว้ในภายหลัง ก็ไม่อาจทำให้การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของน. ดังกล่าวแล้วกลับเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้
ตราบใดที่ น. ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความของสภาทนายความ และจำเลยยังมิได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้ง น. เป็นทนายความของจำเลยเข้ามาใหม่ กระบวนพิจารณาที่ น. เป็นผู้ดำเนินการย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายความขาดใบอนุญาตดำเนินคดี กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนและเริ่มใหม่
การที่ทนายจำเลยซึ่งขาดจากการเป็นทนายความอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติ ทนายความพ.ศ.2528มาตรา44(3)ทำการเป็นทนายความโดยเรียงคำให้การยื่นต่อศาลและดำเนินกระบวนพิจารณาว่าความอย่างทนายความในศาลชั้นต้นนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา33การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาจนกระทั่งพิพากษาคดีแต่ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความของสภาทนายความและจำเลยได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้งทนายความของตนเข้ามาในคดีให้ถูกต้องกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความที่ถูกต้องตามกฎหมายและยื่นคำให้การเข้ามาใหม่แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไปตามวิธีพิจารณาความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายความขาดคุณสมบัติ การกระบวนการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ
น. เป็นผู้ที่ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความชั้นหนึ่งอยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติทนายความพ.ศ.2528ใช้บังคับดังนั้นใบอนุญาตดังกล่าวจึงมีอายุใช้ได้จนถึงวันที่31ธันวาคม2528ตามที่พระราชบัญญัติทนายความพ.ศ.2528มาตรา84วรรคหนึ่งบัญญัติไว้หากน.ประสงค์จะทำการเป็นทนายความต่อไปจะต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันก่อนวันที่ใบอนุญาตฉบับเดิมสิ้นอายุแต่น. มิได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นการขาดต่อใบอนุญาตตามมาตรา39วรรคสอง การที่น. ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความอยู่ก่อนแล้วตามมาตรา40(3)ทำการเป็นทนายความของจำเลยในศาลชั้นต้นต่อแต่นั้นมาย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติทนายความพ.ศ.2528มาตรา33กระบวนพิจารณาที่น. ดำเนินการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้น. จะได้ยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความและนายทะเบียนสภาทนายความได้รับใบคำขอดังกล่าวไว้ในภายหลังก็ไม่อาจทำให้การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของน. ดังกล่าวแล้วกลับเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้ ตราบใดที่น. ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความของสภาทนายความและจำเลยยังมิได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้งน.เป็นทนายความของจำเลยเข้ามาใหม่กระบวนพิจารณาที่น.เป็นผู้ดำเนินการย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาคนสาบสูญตามกฎหมายแพ่งที่แก้ไขใหม่: ใช้กฎหมายเดิมเมื่อระยะเวลาเดิมยังไม่สิ้นสุด
ตาม พระราชบัญญัติ ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535มาตรา14บัญญัติว่า"บรรดาระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในบรรพ1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฯลฯซึ่งใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหากระยะเวลาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและระยะเวลาที่กำหนดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้แตกต่างกับระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิมให้นำระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ"ในระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535ยังไม่ใช้บังคับการ นับระยะเวลาในการที่บุคคลได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไปตกต้องในฐานที่จะเป็นภยันตรายแก่ชีวิตอันจะเป็นคนสาบสูญจึงต้องนับเวลาถึงสามปีนับแต่เมื่อภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้วทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา64วรรคสองเดิมแม้โจทก์จะมาร้องขอให้ ม. เป็นคนสาบสูญเมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535ใช้บังคับแล้วและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา61วรรคสองที่ได้ตรวจชำระใหม่ให้ลดระยะเวลาเหลือเพียงสองปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไปก็ตามแต่เมื่อพิจารณาตามมาตรา14แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535แล้วจะเห็นได้ว่าระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา64วรรคสองเดิมใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535ใช้บังคับและระยะเวลาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับทั้งระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา64วรรคสองเดิมยาวกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535มาตรา61วรรคสองจึงต้องถือระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535มาตรา14ดังนั้นการร้องขอให้ศาลสั่งให้ ม. เป็นคนสาบสูญในคดีนี้จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา64วรรคสองเดิมคือใช้ระยะเวลา3ปี
of 77