คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุนพ กีรติยุติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 763 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7054/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารราชการและการใช้เอกสารปลอม: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265
จำเลยได้เพิ่มชื่อ อ.ลงในทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านแล้วได้มอบสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวคืนให้เจ้าของเก็บรักษาไว้ยังมิได้อ้างและใช้เอกสารดังกล่าวแก่ผู้ใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ในขณะที่จำเลยกระทำผิด ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ และก่อนเกิดเหตุก็ไม่ปรากฎหลักฐานว่า นายอำเภอได้มอบหมายให้จำเลยเป็นผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ จำเลยจึงยังไม่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157,161 และ 162แต่จำเลยคงมีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง: ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาใช้ไม่ได้หากศาลสูงยังไม่ได้วินิจฉัย
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทครอบครองที่ดิน: คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากไม่ได้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6922/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้บรรยายรายละเอียดการได้มาซึ่งเช็ค การแสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับชัดเจนเพียงพอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คผู้ถือให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขายลดแก่ธนาคารถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คธนาคารผู้ซื้อเช็ค เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คไม่ได้ จึงได้หักจากบัญชีของโจทก์ ตามจำนวนเงินในเช็คแล้วมอบเช็คคืนแก่โจทก์ โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงเช็คตามกฎหมาย และได้ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินตามเช็คแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย อันเป็นข้ออ้างให้จำเลยรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 กับมีคำขอบังคับครบถ้วน สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไรเมื่อใด และไม่ได้บรรยายถึงวันที่โจทก์เข้ายึดถือเช็คและใช้เงินตามเช็คนั้น ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ที่สมบูรณ์แล้วกลับเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6922/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินตามเช็ค: แม้ไม่ได้บรรยายรายละเอียดการได้มาซึ่งเช็ค ก็ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คผู้ถือให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขายลดแก่ธนาคาร ถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คธนาคารผู้ซื้อเช็ค เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คไม่ได้ จึงได้หักจากบัญชีของโจทก์ ตามจำนวนเงินในเช็คแล้วมอบเช็คคืนแก่โจทก์ โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงเช็คตามกฎหมาย และได้ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินตามเช็คแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย อันเป็นข้ออ้างให้จำเลยร้บผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 กับมีคำขอบังคับครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไร เมื่อใด และไม่ได้บรรยายถึงวันที่โจทก์เข้ายึดถือเช็คและใช้เงินตามเช็คนั้น ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ที่สมบูรณ์แล้วกลับเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6904/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของทรัพย์สิน: เจ้าของบ้านมีสิทธิไล่ผู้ครอบครองโดยไม่มีสิทธิ แม้บ้านจะตั้งอยู่บนที่ดินเช่า
โจทก์เป็นเจ้าของบ้านย่อมมีสิทธิใช้สอย และได้ซึ่งดอกผลกับทั้งมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิจะยึดถือครอบครองบ้านของโจทก์ด้วยเหตุใด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบบ้านแก่โจทก์ และขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านอันเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือ กับเป็นการใช้สิทธิขัดขวางและใช้สิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองบ้านจากจำเลยผู้เข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ด้วยวิธีการทางศาลแม้บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของ ม. ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่ามาก็ไม่เป็นเหตุตามกฎหมาย ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองบ้านแต่อย่างใดเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หมดสิทธิปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่ามาแล้ว ย่อมไม่กระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ในฐานะเจ้าของบ้านให้เสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6904/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของบ้าน: การติดตามเอาคืนทรัพย์สินและการขัดขวางการครอบครองโดยมิชอบ
โจทก์เป็นเจ้าของบ้านย่อมมีสิทธิใช้สอย และได้ซึ่งดอกผล กับทั้งมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิจะยึดถือครอบครองบ้านของโจทก์ด้วยเหตุใด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบบ้านแก่โจทก์ และขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านอันเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือ กับเป็นการใช้สิทธิขัดขวางและใช้สิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองบ้านจากจำเลยผู้เข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ด้วยวิธีการทางศาล แม้บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของ ม. ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่ามาก็ไม่เป็นเหตุตามกฎหมาย ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองบ้านแต่อย่างใด เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หมดสิทธิปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่ามาแล้ว ย่อมไม่กระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ในฐานะเจ้าของบ้านให้เสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6708/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของธนาคารและลูกจ้างจากการจ่ายเช็คปลอม และความเสียหายจากเช็คหาย
ป.เป็นเพียงลูกจ้างของโจทก์ มีหน้าที่ในการขับรถ ไม่มีหน้าที่ลงลายมือชื่อในเช็คของโจทก์แทนโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมในการปลอมลายมือชื่อในเช็คพิพาท นอกจากนี้ ป.เบิกเงินตามเช็คพิพาทไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2529ดังนั้นแม้ ว.และ ส.ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จะได้ทราบว่าเช็คพิพาทหายไปจากสมุดเช็คในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2529 ก็ตาม ว.และ ส.ก็แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบเพื่อไม่ให้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ทันอยู่ดี การที่ว.และ ส.มิได้แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ก่อความเสียหายขึ้นโดยตรง โจทก์จึงไม่เป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 จ่ายเงินของจำเลยที่ 1 ไปโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้แทนโจทก์ที่ให้ไว้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1ให้ดีเสียก่อนนั้น เป็นเพียงเหตุที่ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่อาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารโจทก์ได้เท่านั้น จึงเป็นกรณีจำเลยที่ 2และที่ 3 ทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ไม่เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาฝากเงินตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้ตามกฎหมายต่อเมื่อธนาคารจำเลยที่ 1 หักเงินจากบัญชีของโจทก์และปฏิเสธที่จะคืนเงินให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่เหลืออยู่เดิมจึงได้ก่อข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญาฝากเงินขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นตั้งแต่ที่จ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่อนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดฐานละเมิด ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6708/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากจ่ายเช็คปลอมโดยประมาท แต่ความเสียหายเกิดกับธนาคารเอง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากธนาคารเท่านั้น
ป.เป็นเพียงลูกจ้างของโจทก์ มีหน้าที่ในการขับรถไม่มีหน้าที่ลงลายมือชื่อในเช็คของโจทก์แทนโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมในการปลอมลายมือชื่อในเช็คพิพาท นอกจากนี้ ป.เบิกเงินตามเช็คพิพาทไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน2529 ดังนั้นแม้ ว.และส.ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จะได้ทราบว่าเช็คพิพาทหายไปจากสมุดเช็คในวันที่27 พฤศจิกายน 2529 ก็ตาม ว.และส.ก็แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบเพื่อไม่ให้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ทันอยู่ดี การที่ ว.และส. มิได้แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ก่อความเสียหายขึ้นโดยตรง โจทก์จึงไม่เป็นผู้ตัองตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 จ่ายเงินของจำเลยที่ 1 ไปโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้แทนโจทก์ที่ให้ไว้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1 ให้ดีเสียก่อนนั้นเป็นเพียงเหตุที่ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่อาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารของโจทก์ได้เท่านั้นจึงเป็นกรณีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาฝากเงินตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้ตามกฎหมายต่อเมื่อธนาคารจำเลยที่ 1หักเงินจากบัญชีของโจทก์และปฏิเสธที่จะคืนเงินให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่เหลืออยู่เดิมจึงได้ก่อข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญาฝากเงินขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ หาใช่จำเลยที่ 2และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นตั้งแต่ที่จ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่อนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3ให้รับผิดฐานละเมิด ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6683/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ยืมรถที่ถูกชนไม่มีหน้าที่ซ่อมเอง ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
of 77