คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ม. 108

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีแร่ในครอบครองและขนแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้แร่เป็นของผู้อื่นก็มีความผิดได้
ปัญหาว่า ของกลางเป็นแร่หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยให้การ รับสารภาพว่าของกลางดังกล่าวเป็นแร่ ฎีกาของจำเลยที่ว่าของกลางมิใช่แร่จึงเป็นฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ พ.ร.บ. แร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 4 ให้บทนิยามคำว่า"มีแร่ไว้ในครอบครอง หมายความว่า การซื้อ แร่ การมีไว้ การยึดถือหรือการรับไว้ด้วย ประการใดซึ่ง แร่ ทั้งนี้ ไม่ว่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น" มาตรา 105 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดมีแร่ครอบครองแต่ ละชนิดเกินสองกิโลกรัม เว้นแต่ (1) ฯลฯ ถึง 12 ฯลฯ" มาตรา 108บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดขนแร่ในที่ใด เว้นแต่ (1) ฯลฯ ถึง 10 ฯลฯ"ดังนี้ การที่จำเลยครอบครองแร่โลหะตะกั่ว โดย ไม่ ชอบ ด้วย กฎหมายแม้ว่าแร่จะเป็นของบุคคลอื่น จำเลยย่อมมีความผิดฐาน มีแร่ไว้ในความครอบครองโดย ไม่ได้รับใบอนุญาตกระทงหนึ่ง และที่จำเลยครอบครองแร่โลหะตะกั่ว ของกลางแล้วขนแร่ไปโดย ไม่มีใบอนุญาตขนแร่ดังกล่าวโดย ฝ่าฝืนมาตรา 108 จำเลยย่อมมีความผิดฐาน ขนแร่โลหะตะกั่วตาม มาตรา 148 อีกกระทงหนึ่ง มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4449-4450/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนย้ายแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.แร่ แม้จะอ้างเหตุผลเรื่องการแต่งแร่และฝากเก็บ
จำเลยผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่นำแร่ออกจากสถานที่ซื้อแร่ไปแต่งและฝากไว้ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ การขนแร่ออกนอกสถานที่ซื้อแร่จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแร่ มาตรา 108 จำเลยจะอ้างเหตุดังกล่าวมาเป็นข้อพิสูจน์ตามมาตรา 152 ตรีว่าการที่แร่ขาดบัญชีมิใช่ความผิดของจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4449-4450/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนย้ายแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.แร่ ถือเป็นความผิด แม้จะอ้างเหตุผลเรื่องการนำไปแต่งและฝากเก็บ
จำเลยผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่นำแร่ออกจากสถานที่ซื้อแร่ไปแต่งและฝากไว้ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ การขนแร่ออกนอกสถานที่ซื้อแร่จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแร่ มาตรา 108 จำเลยจะอ้างเหตุดังกล่าวมาเป็นข้อพิสูจน์ตามมาตรา 152 ตรีว่าการที่แร่ขาดบัญชีมิใช่ความผิดของจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาตต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจ การริบแร่ต้องพิเคราะห์เจตนาเจ้าของ
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ยุติแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 19 บัญญัติว่า'การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาต' หมายความว่าเจ้าของแร่หรือผู้ถืออาชญาบัตร ผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจในการขนแร่เกินใบอนุญาตด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ดีบุกจำนวน 11 กระสอบโดยได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปบรรทุกแร่ดีบุกจาก ท.คนเฝ้ารักษาแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2 ท. ได้ยักยอกแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2 บรรทุกไปในรถยนต์คันดังกล่าวอีก 15 กระสอบ กรณีแร่ดีบุกจำนวน 15 กระสอบนี้จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจที่จะให้ขนเกินไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขนแร่ หากแต่เป็นการกระทำโดยพลการของ ท. เอง จึงถือไม่ได้ว่าแร่ของกลางทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 110 และริบไม่ได้ตามมาตรา 154

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาต การพิสูจน์เจตนา/รู้เห็นเป็นใจของเจ้าของแร่ และขอบเขตการริบของกลาง
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ยุติแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่3) พ.ศ. 2522 มาตรา 19 บัญญัติว่า'การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาต' หมายความว่าเจ้าของแร่หรือผู้ถืออาชญาบัตรผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจในการขนแร่เกินใบอนุญาตด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ดีบุกจำนวน 11 กระสอบโดยได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปบรรทุกแร่ดีบุกจากท.คนเฝ้ารักษษแร่ดีบุกของจำเลยที่2ท. ได้ยักยอกแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2บรรทุกไปในรถยนต์คันดังกล่าวอีก 15 กระสอบกรณีแร่ดีบุกจำนวน 15 กระสอบนี้จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจที่จะให้ขนเกินไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขนแร่ หากแต่เป็นการกระทำโดยพลการของ ท. เอง จึงถือไม่ได้ว่าแร่ของกลางทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 110 และริบไม่ได้ตามมาตรา 154.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกักขังแทนค่าปรับสำหรับความผิดหลายกระทง ต้องเฉลี่ยเวลาและไม่เกินอัตราสูงสุดตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลย 5 คนโดยรวมปรับ เมื่อจะต้องกักขังแทนค่าปรับ แม้จำเลยจะถูกลงโทษปรับในความผิดหลายกระทงก็คงกักขังจำเลยทุกคนแทนค่าปรับได้ไม่เกินสองปีตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30 โดยต้องเฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วน ของตัวจำเลย และเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกกักขังของจำเลยทุกคนแล้ว ต้องไม่เกินสองปีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกักขังแทนค่าปรับ: ศาลฎีกาชี้แนวปฏิบัติการเฉลี่ยระยะเวลาตามสัดส่วนจำเลย และเพดานเวลาตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลย5คนโดยรวมปรับเมื่อจะต้องกักขังแทนค่าปรับแม้จำเลยจะถูกลงโทษปรับในความผิดหลายกระทงก็คงกักขังจำเลยทุกคนแทนค่าปรับได้ไม่เกินสองปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา30โดยต้องเฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วนของตัวจำเลยและเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกกักขังของจำเลยทุกคนแล้วต้องไม่เกินสองปีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา30.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกักขังแทนค่าปรับ: การรวมโทษปรับหลายกระทงและการเฉลี่ยระยะเวลา
ศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลย 5 คนโดยรวมปรับ เมื่อจะต้องกักขังแทนค่าปรับ แม้จำเลยจะถูกลงโทษปรับในความผิดหลายกระทงก็คงกักขังจำเลยทุกคนแทนค่าปรับได้ไม่เกินสองปีตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30 โดยต้องเฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วนของตัวจำเลย และเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกกักขังของจำเลยทุกคนแล้วต้องไม่เกินสองปีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาตและความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
บริษัท พ. นายจ้างให้จำเลยนำรถยนต์และอุปกรณ์ไปขนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่จำนวน 5,090 กิโลกรัม แต่ในระหว่างทางซึ่งเป็นคนละท้องที่กับที่บริษัท พ.ให้จำเลยไปขนแร่ จำเลยได้รับขนแร่ของ ย. อีก 944.8 กิโลกรัม อันเป็นส่วนเกินจากใบอนุญาตขนแร่ของบริษัท พ. และเป็นแร่ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ขน ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการของจำเลยเอง และกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของบริษัท พ. ผู้เป็นนายจ้างดังนี้ ถือไม่ได้ว่าบริษัท พ. รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย ทั้งจะนำพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 มาปรับเข้ากับกรณีนี้ไม่ได้ แร่ของกลางนอกจากแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัมของ ย. ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน จึงไม่ใช่ของกลางอันจะพึงริบตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขน เมื่อคดีฟังได้ว่าบริษัท พ. ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขนแร่ มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างรับขนแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัม ของผู้อื่น จึงจะนำแร่นอกจากจำนวน 944.8 กิโลกรัม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่
การที่จำเลยรับขนแร่ไป ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่ จำเลยย่อมมีความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาต อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินปริมาณและเจตนาครอบครองแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
บริษัทพ.นายจ้างให้จำเลยนำรถยนต์และอุปกรณ์ไปขนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่จำนวน5,090กิโลกรัมแต่ในระหว่างทางซึ่งเป็นคนละท้องที่กับที่บริษัทพ.ให้จำเลยไปขนแร่จำเลยได้รับขนแร่ของย.อีก944.8กิโลกรัมอันเป็นส่วนเกินจากใบอนุญาตขนแร่ของบริษัทพ.และเป็นแร่ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ขนซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการของจำเลยเองและกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของบริษัทพ.ผู้เป็นนายจ้างดังนี้ถือไม่ได้ว่าบริษัทพ.รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดครั้งนี้ด้วยทั้งจะนำพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา110มาปรับเข้ากับกรณีนี้ไม่ได้แร่ของกลางนอกจากแร่จำนวน944.8กิโลกรัมของย.ซึ่งเป็นคนละส่วนกันจึงไม่ใช่ของกลางอันจะพึงริบตามกฎหมาย พระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา110บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้นซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขนเมื่อคดีฟังได้ว่าบริษัทพ.ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขนแร่มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างรับขนแร่จำนวน944.8กิโลกรัมของผู้อื่นจึงจะนำแร่นอกจากจำนวน944.8กิโลกรัมซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่. การที่จำเลยรับขนแร่ไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่จำเลยย่อมมีความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาตอันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน.
of 2