พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย: การสุจริตของบุคคลภายนอกเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำให้การข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้แล้วไม่จำเป็นต้องสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ.มาตรา 24 ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานดังกล่าวได้โดยไม่จำเป็นต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสของบิดามารดาโจทก์บิดาโจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกพิพาทให้แก่จำเลยในขณะที่จำเลยเป็นเลขานุการและเป็นภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์ และมีผู้ปลอมลายมือชื่อของมารดาโจทก์ลงในหนังสือให้ความยินยอม นิติกรรมการซื้อขายจึงไม่สมบูรณ์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยว่าได้รับโอนมาไม่สุจริต ที่บรรยายว่าจำเลยเป็นเลขานุการและภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์นั้น หาใช่ว่าจำเลยจะได้กระทำโดยไม่สุจริตไม่ และที่บรรยายว่าลายมือชื่อของมารดาโจทก์ปลอมนั้นก็มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมหรือร่วมรู้เห็นในการปลอมด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่ดินและตึกพิพาทมาโดยสุจริต ตามคำฟ้องและคำให้การจึงฟังเป็นยุติได้แล้วว่าขณะที่ทำนิติกรรมการซื้อขายนั้นจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำการโดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสของบิดามารดาโจทก์บิดาโจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกพิพาทให้แก่จำเลยในขณะที่จำเลยเป็นเลขานุการและเป็นภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์ และมีผู้ปลอมลายมือชื่อของมารดาโจทก์ลงในหนังสือให้ความยินยอม นิติกรรมการซื้อขายจึงไม่สมบูรณ์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยว่าได้รับโอนมาไม่สุจริต ที่บรรยายว่าจำเลยเป็นเลขานุการและภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์นั้น หาใช่ว่าจำเลยจะได้กระทำโดยไม่สุจริตไม่ และที่บรรยายว่าลายมือชื่อของมารดาโจทก์ปลอมนั้นก็มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมหรือร่วมรู้เห็นในการปลอมด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่ดินและตึกพิพาทมาโดยสุจริต ตามคำฟ้องและคำให้การจึงฟังเป็นยุติได้แล้วว่าขณะที่ทำนิติกรรมการซื้อขายนั้นจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำการโดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายสินสมรส: สุจริตของผู้ซื้อและผลต่ออำนาจฟ้อง
การที่โจทก์บรรยายฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและตึกพิพาทเพียงว่าที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสของบิดามารดาโจทก์ระหว่างบิดามารดาโจทก์อยู่กินร่วมกัน บิดาโจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกพิพาทให้จำเลยซึ่งเป็นเลขานุการและเป็นภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์ และมีการปลอมลายมือชื่อของมารดาโจทก์ในหนังสือให้ความยินยอมนิติกรรมการซื้อขายจึงไม่สมบูรณ์และไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยว่าได้รับโอนที่ดินและตึกพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อมาโดยสุจริต จึงฟังได้ว่าขณะที่ทำนิติกรรมการซื้อขายนั้นจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำการโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 คดีไม่มีประเด็นที่จะพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การขอรอการลงโทษจำคุกหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลล่าง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน 15 วัน จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ปัญหาว่ามีเหตุควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีเกี่ยวข้องยาเสพติด: พยานหลักฐานไม่เพียงพอและขาดเจตนาขัดขวางเจ้าพนักงาน
พยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติกและพยานที่สืบสวนมาก็ไม่ได้ความว่าสืบมาอย่างไร จากใคร เมื่อรู้ก่อนนานแล้วทำไมไม่ดำเนินการจับกุม เหตุใดต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ถูกกล่าวหา จึงน่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกับจำเลยที่ 4 ในบ้านเกิดเหตุ เฮโรอีนของกลางอาจบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้และตามวิสัยการกระทำผิดอันร้ายแรงเช่นนี้ ชอบที่จำเลยที่ 4 กับพวกต้องปิดบังไว้ไม่น่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ล่วงรู้ไปได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จะได้กระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ส่วนความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่นั้น เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากจำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดประตูและจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้เปิดกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นไฟฟ้าภายในบ้านก็ดับลงไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำการอันใดบ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงาน และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วย จะถือว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีจำหน่ายยาเสพติดและขัดขวางเจ้าพนักงาน: ยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อหลักฐานไม่ชัดเจน
พยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติก ที่อ้างว่าทำการสืบสวนทราบมาก็ไม่ได้ความว่าสืบสวนมาอย่างไรและเหตุใดไม่ดำเนินการจับกุมก่อนหน้านั้นต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ เฮโรอีนของกลางที่สิบตำรวจเอกวและวนำมาซุกซ่อนในบ้านเกิดเหตุอาจมีการบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้ การที่จำเลยที่ 1 พูดห้ามจำเลยที่ 4 ไม่ให้เปิดประตูบ้านให้เจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นในเวลา 24 นาฬิกาและมีการดับไฟในบ้านด้วยนั้น จำเลยที่ 1 อาจเข้าใจว่าเป็นผู้อื่นอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อมา กระทำการโดยมิชอบก็ได้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ได้กระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสาม เจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าตรวจค้นยาเสพติดในบ้านเกิดเหตุโดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตู จำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน จากนั้นไฟฟ้าในบ้านดับลงโดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับ เมื่อไม่ได้ ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 ทำการอื่นใดนอกจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำการใดบ้าง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3อยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 4ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานอ่อนแอ-เหตุผลสมควร: ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดียาเสพติดและขัดขวางเจ้าพนักงาน
พยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติก ที่อ้างว่าทำการสืบสวนทราบมาก็ไม่ได้ความว่าสืบสวนมาอย่างไร และเหตุใดไม่ดำเนินการจับกุมก่อนหน้านั้นต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ เฮโรอีนของกลางที่สิบตำรวจเอก ว และ ว นำมาซุกซ่อนในบ้านเกิดเหตุอาจมีการบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้ การที่จำเลยที่ 1 พูดห้ามจำเลยที่ 4 ไม่ให้เปิดประตูบ้านให้เจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นในเวลา24 นาฬิกา และมีการดับไฟในบ้านด้วยนั้น จำเลยที่ 1 อาจเข้าใจว่าเป็นผู้อื่นอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อมากระทำการโดยมิชอบก็ได้ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสาม
เจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าตรวจค้นยาเสพติดในบ้านเกิดเหตุโดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตู จำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิด จำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน จากนั้นไฟฟ้าในบ้านดับลงโดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับ เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4ทำการอื่นใดนอกจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำการใดบ้าง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 4 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
เจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าตรวจค้นยาเสพติดในบ้านเกิดเหตุโดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตู จำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิด จำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน จากนั้นไฟฟ้าในบ้านดับลงโดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับ เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4ทำการอื่นใดนอกจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำการใดบ้าง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 4 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 791/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท – การปรับตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ต้องคิดเฉพาะค่าอากร ไม่รวมภาษีอื่น
จำเลยรับเอาบุหรี่อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยมิได้ปิดแสตมป์ยาสูบเป็นการกระทำครั้งเดียวในเวลาเดียวกัน แม้ผู้นำเข้าอาจนำเข้าโดยเจตนาหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากร แต่มิได้นำเข้ามาเพื่อขายก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 หรือนำเข้ามาโดยถูกต้องแต่มีไว้เพื่อขายโดยมิได้ปิดแสตมป์ยาสูบก็เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบฯ เพราะเป็นความผิดที่ผิดแผกแตกต่างกันและเป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับกันก็ตาม แต่จำเลยรับเอาไว้เพื่อขายอันเป็นความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าว จำเลยมีเจตนาในผลอย่างเดียวกัน คือหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องเสียภาษีอากรตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่หลายกรรมต่างกันไม่ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ที่ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยนั้นหมายถึงค่าอากรตามกฎหมายภาษีศุลกากร หาได้หมายรวมถึงค่าภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรและภาษีเทศบาลตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาลไม่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษปรับโดยรวมค่าภาษีทั้งสองประเภทดังกล่าวมาด้วยจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัทลงลายมือชื่อเช็คเพื่อการลงทุน บริษัทเป็นผู้รับผิด ไม่ใช่กรรมการส่วนตัว
เจ้าหนี้มอบเงินให้บริษัทจำเลยที่ 1 เพื่อร่วมลงทุนแล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทมอบให้เจ้าหนี้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันเงินลงทุนของเจ้าหนี้ โดย ป. และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแม้จะไม่ได้ประทับตราของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้โดยมิได้เขียนว่าทำการแทนก็ตาม แต่การลงลายมือชื่อของ ป.กับจำเลยที่ 2 ก็เป็นการลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงออกถึงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยผู้แทนของนิติบุคคลดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 75 เดิม (มาตรา 70 ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของ ป. กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 มิใช่การกระทำของตัวแทนที่ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินแทนตัวการ แต่มิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลนั้นต้องรับผิดตามความในตั๋วเงินดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัทลงลายมือชื่อเช็คในฐานะผู้แทนบริษัท ไม่ต้องรับผิดตามตั๋วเงินส่วนบุคคล
เจ้าหนี้มอบเงินให้จำเลยที่ 1 เพื่อร่วมลงทุน จำเลยที่ 1ออกเช็คพิพาทมอบให้เจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักประกัน เช็คพิพาทมี ป.กับจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายโดยมิได้ประทับตราของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 มิได้เขียนว่ากระทำการแทน แต่การที่ ป. กับจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงออกถึงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยผู้แทนของนิติบุคคล จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 มิใช่การกระทำของตัวแทนที่ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินแทนตัวการ แต่มิได้เขียนแถลงว่ากระทำแทนบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลนั้นต้องรับผิดตามความในตั๋วเงินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901 จำเลยที่ 2ไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการลงโทษจำเลย ศาลยกฟ้องคดีอาญา
คำให้การในชั้นสอบสวนของพยานที่โจทก์ไม่สามารถนำมาเบิกความในชั้นพิจารณา เป็นเพียงพยานบอกเล่า มิได้ทำต่อหน้าศาลและต่อหน้าจำเลย เป็นคำให้การที่พยานมิได้สาบานตนตามลัทธิศาสนาต่อหน้าศาล มิได้ผ่านการถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริงสำหรับค้นคว้าหาความจริงโดยละเอียดตามกระบวนความ จึงมีน้ำหนักน้อยในการที่ศาลจะรับฟัง