พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3063/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินในเขตอุทยานฯ และป่าสงวนฯ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่
จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ครอบครองที่ดินพิพาท เป็นการต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ จำเลยอาศัยสิทธิของกรมป่าไม้จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้เรียกกรมป่าไม้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินเขาแหลมหญ้าตำบลเพ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติออกใช้บังคับเมื่อปี พ.ศ. 2524 ที่ดินพิพาทก็อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 893(2523) ออกตามความในพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 16(1) ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองที่ดิน รวมตลอดถึงก่นสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า โจทก์ไม่เคยยื่นคำร้องขอกันที่พิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติหรืออุทยานแห่งชาติ ดังนั้นการที่โจทก์เข้ายึดถือครอบครองที่ดิน ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง แม้จะรับโอนมาจากผู้ที่ครอบครองอยู่ก่อนนานเท่าใดก็ตามเพราะเป็นที่ดินที่ไม่อาจโอนกันได้ เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ซึ่งมารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3063/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินในเขตอุทยานฯ: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่หากไม่ได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปตัดต้นไม้และปลูกอาคารในที่ดินของโจทก์ ขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ จำเลยได้รับอนุญาตให้ครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นการต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ จำเลยอาศัยสิทธิของกรมป่าไม้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้เรียกกรมป่าไม้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ที่ดินพิพาทเดิมอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต่อมาได้มีพ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยยื่นคำร้องขอกับที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติหรืออุทยานแห่งชาติแล้ว การที่โจทก์เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่ได้สิทธิครอบครอง แม้จะรับโอนมาจากผู้ที่ครอบครองอยู่ก่อนนานเท่าใดก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งมารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลภาษีอากร: คดีพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สิน ไม่ใช่คดีภาษีอากร
การที่โจทก์ฟ้องอธิบดีกรมสรรพากรให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 โดยอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของโจทก์มิใช่ของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรนั้น มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลภาษีอากรกลาง: คดีพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สิน ไม่ใช่คดีภาษีอากรโดยตรง
การฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของอธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 12 แห่ง ป.รัษฎากร มิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528ศาลภาษีอากรกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและการป้องกันตัว การพิจารณาพยานหลักฐานและเหตุบรรเทาโทษ
โจทก์มีนาง ท.ซึ่งเป็นน้องภริยาจำเลยกับนางต. ป้าจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนว่า เห็นจำเลยถือมีดยืนท้าทายผู้ตาย แล้วถูกผู้ตายยิง แต่จำเลยหลบทัน กระสุนเลยพลาดไปถูก นาง ส. แม้พยานทั้งสองจะมิได้เบิกความถึงเหตุการณ์ต่อมาตอนที่ผู้ตายถูกยิง แต่พยานทั้งสองเคยให้การในชั้นสอบสวนว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย แม้จะให้การหลังเกิดเหตุถึง 1 เดือนเศษก็ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมุ่งปรักปรำจำเลย แต่กลับมุ่งช่วยจำเลยว่าเป็นการยิงป้องกันตัว เพราะเป็นญาติกับจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนแม้เป็นพยานบอกเล่าก็อาจนำไปฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นได้ ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือนคดีโจทก์เฉพาะความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาฐานนี้ไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลภาษีอากรจำกัดเฉพาะคดีภาษี การฟ้องเพิกถอนยึดทรัพย์ไม่ใช่คดีภาษี
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าประกาศยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์โจทก์ของจำเลยโดยใช้อำนาจตาม ป.รัษฎากร มาตรา 12เป็นโมฆะและขอให้เพิกถอนเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ตามอำนาจของจำเลยว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ ดังนี้ ศาลภาษีอากรกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายมรดกในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และความสัมพันธ์ของผู้ขายกับผู้ซื้อ อาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉล
ราคาที่ดินและบ้านพิพาทรวมกันประมาณ 70,000-100,000 บาทการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 ในราคา 15,000 บาท จึงเป็นราคาที่ต่ำไม่เหมาะสมนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ขอจำเลยที่ 2 มาเลี้ยงดูอย่างลูกและอยู่บ้านเดียวกัน ทายาทโดยธรรมของผู้ตายไม่มีโอกาสรู้เห็นการขายที่ดินและบ้านพิพาท มีวี่แววให้น่าสงสัยถึงความไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์ทั้งสองและทายาทโดยธรรมเสียเปรียบ ศาลเพิกถอนเสียได้ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทกันในราคา 60,000 บาท แต่จดทะเบียนเพียง 15,000 บาท นั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น จึงไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยที่ 1 มิใช่ผู้จัดการมรดกที่ผู้ตายตั้งใจจัดการทำศพทายาทผู้ตายก็ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการศพจำเลยกระทำตามอำเภอใจ ใช้จ่ายค่าจัดการศพผู้ตายไปเองค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงมิใช่หนี้ที่เจ้ามรดกต้องชดใช้ให้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1649 จำเลยจึงหามีสิทธิที่จะหักหนี้ค่าจัดการศพผู้ตายไว้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานเบิกความเท็จ ต้องระบุประเด็นสำคัญในคดีแพ่งที่เบิกความเท็จให้ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จต่อศาลในคดีแพ่ง เรื่องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี และบรรยายรายละเอียดที่จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จพร้อมกับความเป็นจริงว่าอย่างไรทั้งคำเบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าในคดีดังกล่าวประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยทั้งสองเบิกความมาในฟ้องและนำสืบอ้างสำนวนคดีนั้นมาด้วยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนดังกล่าวไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาที่ไม่ชัดเจนถึงองค์ประกอบความผิดและข้อสำคัญในคดี เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องว่านำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ และเบิกความเท็จบรรยายข้อความที่ว่าเป็นเท็จกับความจริง เป็นอย่างไร และว่าเป็นข้อสำคัญในคดีแต่ไม่บรรยายว่าสำคัญอย่างไร เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 158 แม้โจทก์จะบรรยายถึงเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความ และนำสืบอ้างสำนวนคดีนั้นมาด้วย ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีนั้นหาใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์ให้สมบูรณ์ขึ้นไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองต้องสงบ เปิดเผย และต่อเนื่อง หากมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องสิทธิอาจถูกกระทบ
คำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินกล่าวว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ย่อมมีความหมายว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินทั้งโฉนด ไม่จำต้องระบุเนื้อที่ดินความกว้างยาว อาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมา และที่กล่าวว่าได้ครอบครองเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ก็มีความหมายว่าได้ครอบครองติดต่อกันมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปี เป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปี เป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 แล้วไม่เคลือบคลุม ตามคำร้องขอกล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองหาได้กล่าวว่ามีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองอันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิไม่ผู้ร้องทำเป็นคำร้องขอชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 188 แล้ว ที่ดินพิพาทมีการจดทะเบียนเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทการอ้างว่าได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1382 การครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอก็ยังไม่ครบสิบปี แม้จะฟังว่าฝ่ายผู้ร้องได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์.