พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลือกใช้สิทธิเจ้าหนี้มีประกัน: สิทธิเหนือทรัพย์สิน VS. การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 หรือมาตรา 96 เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพียงมาตราเดียว หากเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 แล้ว ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้นตามมาตรา 95 อีกต่อไป และต้องขอรับชำระหนี้ทั้งหมดของตนที่มีทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 91 ผู้ร้องจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นหลักประกันในการที่ผู้ร้องรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน 12 ฉบับที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้อื่น ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน 11 ฉบับ สำหรับที่ดินที่จำเลยไว้ อันเป็นการเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา96(3) แล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือที่ดินที่จำนองตามมาตรา 95 อีกต่อไป และเมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับที่ 12ภายในกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้นั้นอีกต่อไปพระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 101 ให้สิทธิแก่บุคคลผู้เป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้ค้ำประกันผู้ค้ำประกันร่วมหรือบุคคลที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้ ที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้ ดังนั้น แม้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่บุคคลอื่น มิได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นให้แก่ผู้รับเงิน ผู้ร้องก็มีสิทธิที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 91เมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลานั้น ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้สำหรับหนี้ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้มีประกันเลือกสิทธิได้ระหว่างใช้สิทธิจำนองหรือขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แต่ต้องเลือกเพียงอย่างเดียว และต้องยื่นคำขอภายในกำหนดเวลา
ในการใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินใดอันเป็นหลักประกันเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 95 หรือมาตรา 96 มาตราใดมาตราหนึ่งเพียงมาตราเดียวหากเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 แล้ว ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้นตามมาตรา 95 อีกต่อไป และต้องขอรับชำระหนี้ทั้งหมดของตนที่มีทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 91 หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วก็ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้อีกต่อไปพระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลาย มาตรา 101 บัญญัติให้สิทธิแก่บุคคลผู้เป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้ค้ำประกันผู้ค้ำประกันร่วม หรือบุคคลที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้ ที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้ ดังนั้น แม้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่บุคคลอื่น ยังมิได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นให้แก่ผู้รับเงินผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 91 เมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลานั้นผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้สำหรับหนี้ดังกล่าว ฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการตัดต้นยูคาลิปตัสเพื่อใช้หนี้ ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ก.ภริยาของโจทก์ร่วมเป็นหนี้จำเลยที่ 3 แล้วไม่ชำระ จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของ ก.เพื่อบังคับคดีในที่ดินดังกล่าวมีต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมปลูกอยู่ โดยโจทก์ร่วมเช่าที่ดินจาก ก. ปลูกไว้ และ ก. เคยตกลงเอาต้นกล้ายูคาลิปตัสตีใช้หนี้จำเลยที่ 3 ย่อมทำให้จำเลยทั้งสามเข้าใจว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นของ ก. การที่จำเลยทั้งสามตัดเอาต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมไป แสดงว่ามีเจตนาเพื่อใช้หนี้จำเลยที่ 3ไม่มีเจตนาทุจริตไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ ลดโทษคดีฆ่าชิงทรัพย์ แม้พยานหลักฐานทางกายภาพมีจำกัด
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสองและชิงทรัพย์ของผู้ตายไป คงมีแต่พยานแวดล้อมกรณีหลังเกิดเหตุเช่น พบทรัพย์สินของผู้ตายบางส่วนในห้องพักของจำเลย พบคราบโลหิตติดอยู่ที่ร่องอก ท่อนแขนขวาของจำเลยที่ 1 และคราบโลหิตติดอยู่ที่เสื้อผ้าของจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพในชั้นศาลทำให้ศาลแน่ใจว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดโดยไม่มีข้อสงสัย ดังนี้ คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้งและประเด็นใหม่: ศาลฎีกายกข้อฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำพิพากษาและยกประเด็นใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในชั้นศาล
จำเลยฎีกาอ้างเพียงว่า คำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ โดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไร มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองควรชนะคดีอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249
ปัญหาว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249
ปัญหาว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้งและประเด็นใหม่: ศาลฎีกายกข้อฎีกาที่อ้างพยานไม่น่าเชื่อถือและข้ออ้างที่มิได้ยกขึ้นในชั้นศาล
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้โจทก์เพียงคนเดียวที่เบิกความว่า โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทเป็นการเบิกความเพื่อประโยชน์ต่อตนฝ่ายเดียว ไม่น่าเชื่อถือดังนี้เป็นฎีกาที่อ้างเพียงว่าคำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือโดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไร มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยควรชนะคดีอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุ แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้เช่นนั้น และกรณีมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – อำนาจฟ้อง & ที่ราชพัสดุ – การโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้โจทก์เพียงคนเดียวที่เบิกความว่า โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาท เป็นการเบิกความเพื่อประโยชน์ต่อตนฝ่ายเดียว พยานโจทก์ปากนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ โจทก์ครอบครองที่พิพาทจำนวนมากไม่แน่ชัดว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ส่วนไหนบ้าง ดังนี้เป็นฎีกาที่อ้างเพียงว่าคำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ โดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไรมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยทั้งสองควรชนะคดีอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ไว้ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบตามมาตรา 249 เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – เหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาไม่เพียงพอ & ประเด็นใหม่ไม่ยกขึ้น – ไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาอ้างเพียงว่า คำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือโดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไร มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองควรชนะคดีอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ปัญหาว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการแต่ฟ้องจำเลยที่ 1 ย่อมขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าท่า-เทียบเรือกับโจทก์ มีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ต้องดำเนินกิจการต่อเนื่องและไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วง จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงเข้าดำเนินกิจการแทน และบรรยายฟ้องในตอนท้ายว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าในนามของแพปลาสินธ์ไพโรจน์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการท่าเทียบเรือดังกล่าวเพียงผู้เดียวจำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ ตามคำฟ้องจึงสรุปได้ว่าโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการแต่ผู้เดียว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการ-ตัวแทน สัญญาเช่า: โจทก์ฟ้องผิดบุคคลเมื่อทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการ
จำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงกับโจทก์ จำเลยที่ 2 เข้าดำเนินกิจการท่าเทียบเรือแต่ผู้เดียวหลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่าดังกล่าว.