คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เพ็ง เพ็งนิติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญา: ผลผูกพันและอิสระในการตกลง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา และจำเลยที่ 1แถลงในคดีอาญาว่าตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเงินให้โจทก์ 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันแถลงจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จฯโดยโจทก์ยอมถอนคำร้องทุกข์เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทในคดีอาญาให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และการที่จำเลยที่ 1 กระทำข้อตกลงกับโจทก์ดังกล่าวข้างต้นไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีอิสระเพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อหน้าศาล ซึ่งจำเลยที่ 1มีอิสระที่จะตกลงด้วยหรือไม่ก็ได้ หามีใครบังคับไม่จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน: หลักเกณฑ์การกำหนดค่ารายปี, การเพิ่มค่ารายปีตามสภาพค่าครองชีพ และขอบเขตที่ดินที่นำมาประเมิน
การกำหนดค่ารายปีขึ้นใหม่กับการกำหนดค่ารายปีในปีต่อ ๆ มานั้นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ต่างกัน การกำหนดค่ารายปีขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 วรรคสองจะต้องเป็นกรณีที่ค่ารายปีที่เดิมกำหนดไว้ไม่ถูกต้องเท่านั้นส่วนมาตรา 18 บัญญัติให้นำค่ารายปีในปีล่วงมาแล้วเป็นหลักในการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา คดีนี้ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าค่ารายปีที่กำหนดไว้เดิมไม่ถูกต้องอย่างไร การจะเพิ่มค่ารายปีได้จึงต้องเป็นการเพิ่มตามสภาพแห่งค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอันจะมีผลให้ค่ารายปีเพิ่มขึ้นไปในตัวเอง เมื่อปรากฏว่าในปีก่อนหน้าปีพิพาทมีการเพิ่มค่ารายปีในอัตราร้อยละ 10 ของค่ารายปีในปีก่อนและในปีพิพาทก็ไม่ปรากฏว่าค่าครองชีพทั่ว ๆ ไปได้มีการเพิ่มขึ้นในลักษณะผิดปกติธรรมดา ที่มีการเพิ่มจากปีก่อน ๆ แต่อย่างใดกรณีจึงต้องเพิ่มค่ารายปีจากที่กำหนดไว้เดิมร้อยละ 10 จะกำหนดให้เพิ่มในลักษณะผิดปกติธรรมดา เช่นจะกำหนดให้เพิ่มเท่าตัวคือร้อยละ 100 ไม่ได้ เพราะจะเสมือนกับว่าเป็นการกำหนดค่ารายปีขึ้นใหม่ ที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ว่างมิได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างและมิใช่พื้นที่บริเวณต่อเนื่องกับสนามน็อก กรณีจึงมิอาจเอาพื้นที่ดังกล่าวมารวมกับพื้นที่ของสนามน็อกบอร์ดเพื่อประเมินภาษีได้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน มาตรา 6 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ไปตามอำนาจหน้าที่ มิใช่ผู้ที่รับเงินภาษีโรงเรือนที่โจทก์ชำระตามคำวินิจฉัย จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินภาษีส่วนที่เกินไป การคืนภาษีส่วนที่เกินจะต้องเสียดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อไม่คืนในกำหนด 3 เดือน เท่านั้นตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินมาตรา 39 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ได้ชำระให้แก่กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 ไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3819/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจกำหนดค่าเช่าใหม่ แม้ค่าเช่าต่ำกว่าราคาตลาด หากผู้เสียภาษีลงรับตามที่ได้รับจริง
ภาษีเงินได้นิติบุคคลคดีนี้พิพาทกันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2522ซึ่ง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 5) มาตรา 15ใช้บังคับและบทบัญญัติใน ป.รัษฎากร มาตรา 65 ทวิ(4) เกี่ยวกับกรณีโอนทรัพย์สิน ซึ่งไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนแต่ต่ำกว่าราคาตลาด ที่เจ้าพนักงานประเมินอาจประเมินราคาทรัพย์สินนั้นตามราคาตลาดในวันที่มีการโอนได้ ไม่สามารถปรับใช้กับกรณีการเช่าได้เมื่อโจทก์ลงรายการรับตามที่ได้รับค่าเช่ามาจริง เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจที่จะกำหนดค่าเช่าขึ้นใหม่ให้เป็นรายได้พึงประเมินได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3819/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินค่าเช่าทรัพย์สิน: เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจประเมินค่าเช่าโดยอ้างอิงราคาตลาด หากมิใช่กรณีที่แสดงรายรับต่ำกว่าความเป็นจริง
การเช่าทรัพย์สินมิใช่การโอนทรัพย์สิน กรณีจึงไม่อาจอ้างบทบัญญัติมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินทำการประเมินราคาทรัพย์สินในกรณีโอนทรัพย์สินซึ่งไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาด มาทำการประเมินค่าเช่าที่โจทก์ให้เช่าทรัพย์สินของตนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการบาดเจ็บทางร่างกายและอนามัย ถือเป็นความเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้
การที่โจทก์เสียขาไปข้างหนึ่งและต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานนับว่าเป็นความเสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของโจทก์ ถือเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายทางร่างกายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประเมินความเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน (ความเจ็บปวด, เสียขา) และดอกเบี้ย
การที่โจทก์เสียขาไปข้างหนึ่งและต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานนับว่าเป็นความเสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของโจทก์ ถือเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 446.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3794/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาภาษีอากรต้องใช้ราคาตามบัญชีราคาสินค้าที่ทั้งคู่ยอมรับ แม้จะอนุมัติภายหลังก็ไม่กระทบราคาอันแท้จริง
โจทก์และจำเลยต่างถือเอาราคาตามที่ปรากฏในบัญชีราคาสินค้ามาเป็นเกณฑ์เพื่อประเมินราคาสินค้าพิพาท โดยโจทก์ถือตามบัญชีราคาสินค้าเก่า จำเลยถือตามบัญชีราคาสินค้าใหม่ ย่อมเท่ากับต่างยอมรับว่า ราคาตามบัญชีราคาสินค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดการที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าพิพาทเข้ามาโดยโจทก์ต้องชำระราคาตามบัญชีราคาสินค้าใหม่ ซึ่งบริษัทผู้ขายในต่างประเทศได้แสดงไว้แล้วว่าบัญชีราคาสินค้าดังกล่าวมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2531โจทก์นำสินค้าเข้ามาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2531 โดยสำแดงราคาตามบัญชีราคาสินค้าใหม่อันมีผลใช้บังคับแล้วดังนี้ ย่อมต้องถือว่าราคาตามราคาสินค้าใหม่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินราคาสินค้าพิพาท การที่จำเลยเพิ่งอนุมัติให้ใช้บัญชีราคาสินค้าใหม่ภายหลังโจทก์นำสินค้าเข้ามาแล้ว ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงราคาอันแท้จริงในท้องตลาด อันต้องถือเป็นเกณฑ์ในการประเมินราคา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีการค้าจากการซื้อขายที่ดิน: การพิสูจน์เจตนาค้าหรือหากำไร และการยินยอมเสียภาษี
ข้อนำสืบของโจทก์ที่อ้างว่า พ. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะยินยอมเสียภาษีการค้า หรือมีเจตนาลงชื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าพนักงานของจำเลยในเอกสารที่จำเลยอ้าง เอกสารดังกล่าวจึงใช้ไม่ได้ นั้น เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร มิใช่นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสองประกอบด้วย พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 โจทก์ซื้อที่ดินมาและขายไป 3 ครั้งรวม 9 โฉนด โดยซื้อมาและขายไปภายในระยะเวลาอันสั้น ก่อนขายก็ไม่ปรากฏว่าได้ใช้ที่ดินแปลงใดเพื่อประโยชน์ในกิจการของโจทก์แต่อย่างใด ส่วนที่อ้างว่ามีโครงการจะใช้ที่ดิน โจทก์ก็ไม่มีเอกสารที่แสดงถึงโครงการเหล่านั้นมานำสืบสนับสนุน ยิ่งกว่านั้นที่ดินบางแปลงโจทก์ก็ได้ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าอีกด้วยซึ่งแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนาซื้อที่ดินมาเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ อีกทั้งหลังจากขายที่ดินที่ซื้อมาไปแล้วโจทก์ก็พยายามหาซื้อที่ดินแปลงอื่นอีก พฤติการณ์มีเหตุให้เชื่อได้ว่าโจทก์ซื้อขายที่ดินเป็นทางค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11ท้ายหมวด 4 แห่งประมวลรัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไรและผลทางภาษีอากร การซื้อขายที่ดินโดยไม่มีเจตนาใช้ประโยชน์แต่เพื่อเก็งกำไร ต้องเสียภาษี
การที่โจทก์นำสืบว่า ผู้รับมอบอำนาจโจทก์แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยว่าโจทก์ขายที่ดินไปโดยมิได้มุ่งในทางการค้าที่ดิน แต่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งว่า การขายที่ดินของโจทก์ ถือว่าประกอบการค้าที่ดินและให้โจทก์เสียภาษีการค้า ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่ยินยอมเสียภาษีและจะอุทธรณ์ต่อไป แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงชื่อไว้ในช่องผู้ให้ถ้อยคำ โดยแจ้งว่าให้ลงชื่อไปก่อน เพราะเป็นระเบียบของกรมสรรพากร ว่าต้องมีหลักฐานไว้เพื่อตรวจสอบ ส่วนการอุทธรณ์จะอุทธรณ์ในภายหลังย่อมทำได้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงลงชื่อไว้พร้อมกับแจ้งด้วยว่าจะอุทธรณ์การประเมิน ดังนี้ตามข้อนำสืบหรือข้ออ้างของโจทก์เท่ากับอ้างว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะยินยอมเสียภาษีการค้าหรือเจตนาลงชื่อ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเอกสารดังกล่าวจึงใช้ไม่ได้ ซึ่งเป็นการนำสืบหักล้างเอกสารมิใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะยินยอมหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนภาษีการค้า โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรได้ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาและขายไปในระยะสั้น โดยในช่วงก่อนขายไม่ปรากฏว่าได้ใช้ประโยชน์ในกิจการของโจทก์อย่างใด ที่อ้างว่ามีโครงการต่าง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีเอกสารแสดงถึงโครงการเหล่านั้นมาสนับสนุน จึงเป็นการขายที่ดินเพื่อทางค้าหรือหากำไร ต้องเสียภาษีการค้าตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725-3726/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายนัดโดยปิดหมายที่ภูมิลำเนาทนายความที่ย้ายออกไปแล้ว ถือเป็นการส่งโดยชอบหรือไม่ และผลของการไม่มาศาล
ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มในวันนัดโดยวิธีปิดหมายณ สำนักงานของทนายผู้ร้องตามที่ปรากฏในสำนวน เมื่อปรากฏว่าทนายผู้ร้องได้ย้ายสำนักงานออกไปก่อนมีการปิดหมายนัด ถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งหมายโดยชอบ การที่ผู้ร้องไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมิได้นำเงินค่าขึ้นศาลไปชำระเพิ่มในวันนัดตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีโดยไม่มีเหตุตามกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ก่อน
of 54