คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เพ็ง เพ็งนิติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าใช้จ่ายจากการโอนขายกิจการและการชดใช้หนี้ การหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
โจทก์โอนขายกิจการโดยมีข้อสัญญาว่า โจทก์ต้องชดใช้หนี้ของลูกหนี้การค้าทั่วไปที่โอนไปแล้วเรียกเก็บเงินไม่ได้ให้ผู้รับโอน การที่โจทก์ออกใบลดหนี้ของลูกหนี้การค้าทั่วไปที่สงสัยว่าจะสูญให้ผู้รับโอน จึงเป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา มิใช่การจำหน่ายหนี้สูญ จึงเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการคำนวณกำไรสุทธิได้
รายจ่ายลดค่าเช่าซื้อที่โอนขาย เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นหนี้ค้างชำระ และหนี้ที่จะถึงกำหนดในอนาคตเป็นการคิดส่วนลดเป็นการเหมาเพราะโจทก์เลิกกิจการ ส่วนลดนี้จึงเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไร หรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
ส่วนลดสำหรับหนี้ที่เรียกเก็บไม่ได้ที่โจทก์ต้องชดใช้เป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา จึงเป็นรายจ่ายที่โจทก์จ่ายไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายกิจการ, ส่วนลดหนี้, ค่าใช้จ่ายทางภาษี: การหักค่าใช้จ่ายจากส่วนลดหนี้ที่ชดใช้ตามสัญญา
โจทก์โอนขายกิจการโดยมีข้อสัญญาว่า โจทก์ต้องชดใช้หนี้ของลูกหนี้การค้าทั่วไปที่โอนไปแล้วเรียกเก็บเงินไม่ได้ให้ผู้รับโอนการที่โจทก์ออกใบลดหนี้ของลูกหนี้การค้าทั่วไปที่สงสัยว่าจะสูญให้ผู้รับโอน จึงเป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา มิใช่การจำหน่ายหนี้สูญ จึงเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการคำนวณกำไรสุทธิได้ รายจ่ายลดค่าเช่าซื้อที่โอนขาย เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นหนี้ค้างชำระ และหนี้ที่จะถึงกำหนดในอนาคตเป็นการคิดส่วนลด เป็นการเหมาเพราะโจทก์เลิกกิจการส่วนลดนี้จึงเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไร หรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนลดสำหรับหนี้ที่เรียกเก็บไม่ได้ที่โจทก์ต้องชดใช้เป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา จึงเป็นรายจ่ายที่โจทก์จ่ายไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3972/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารราชการปลอมเพื่อการเคลื่อนย้ายสัตว์ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ใบอนุญาตให้นำหรือเคลื่อนย้ายโค เป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้เพื่อแสดงว่าได้อนุญาตให้เคลื่อนย้ายสัตว์ได้เท่านั้นหาใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) ไม่ การที่จำเลยใช้ใบอนุญาตให้นำหรือเคลื่อนย้ายโคปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3869/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิด ต้องเกิดขึ้นขณะกระทำผิด ไม่ใช่หลังกระทำผิด
ในเมื่อขณะคนร้ายลักทรัพย์ จำเลยมิได้ร่วมกระทำผิดหรือสนับสนุนการกระทำผิดด้วยแล้ว ดังนี้ การที่จำเลยอยู่ที่บ้าน ล.ในขณะที่คนร้ายนำของที่ลักมาเก็บที่บ้าน ล.นั้น เป็นเหตุการณ์หลังจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินและเรียกเก็บอากรขาเข้าหลังเลิกกิจการ การหักค่าเสื่อมราคา และการคำนวณเงินเพิ่มอากร
จำเลยเลิกกิจการเพราะขาดทุนซึ่งตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 56 มิได้กล่าวถึงการเลิกกิจการอันจะถือว่าสิทธิประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมถูกเพิกถอนและมิได้บัญญัติให้เรียกเก็บภาษีอากรอย่างไร เมื่อสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรที่จำเลยได้รับตามบัตรส่งเสริมถูกยกเลิกเพราะการเลิกกิจการจึงต้องบังคับตาม พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503มาตรา 10 วรรคแรก โดยถือราคาและอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิได้รับยกเว้นอากรของผู้ได้รับบัตรส่งเสริมสิ้นสุดลงเป็นเกณฑ์ในการคำนวณอากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการประเมินภาษี
แม้คดีนี้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแต่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีได้ก็ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย โดยศาลอาจสืบพยานตามที่เห็นจำเป็นเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์ และจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 205 วรรคแรก ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17ดังนั้น เมื่อศาลภาษีอากรพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยย่อมอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลภาษีอากรว่าข้ออ้างของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลให้ชนะคดีได้ ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ มาตรา 24 ประกอบมาตรา 29
ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็นประเด็นที่จำเลยจะต้องให้การไว้ คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ถูกยกเลิกบัตรส่งเสริมการลงทุน เพราะจำเลยที่ 1เลิกกิจการ มิใช่ถูกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 แห่งพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2522 ซึ่งจะทำให้ผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องเสียภาษีอากรโดยถือสภาพของของ ราคาและอัตราภาษีที่เป็นอยู่ในวันนำเข้าเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากร ตามมาตรา 55 วรรคแรก
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ฯ มาตรา 56 วรรคหนึ่งได้บัญญัติเรื่องผู้ได้รับการส่งเสริมเลิกกิจการ รวมกิจการกับผู้อื่น หรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ให้บัตรส่งเสริมนั้นใช้ได้ต่อไปอีกไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันเลิก รวมหรือโอนกิจการ ส่วนวรรคสองเป็นเรื่องที่ผู้ซึ่งดำเนินกิจการที่ร่วมกันขึ้นใหม่ หรือโอนกิจการ ประสงค์จะขอรับช่วงดำเนินกิจการที่ได้รับการส่งเสริมตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมต่อไป ก็ให้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมภายในเวลาที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้าคณะกรรมการเห็นว่าไม่สมควรให้การส่งเสริม ก็ให้สั่งให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมด ดังนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า ตามมาตรา 56 วรรคสองมิได้บัญญัติถึงเรื่องการเลิกกิจการ อันจะถือเท่ากับว่าสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมถูกเพิกถอนแล้วไม่
ปัญหาเรื่องบัตรส่งเสริมถูกยกเลิกเพราะมีการเลิกกิจการสิทธิและประโยชน์ที่ผู้ได้รับการส่งเสริมเคยได้รับโดยเฉพาะเรื่องภาษีอากรนี้จะเรียกเก็บอย่างไร มิได้มีบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ฯ จึงต้องบังคับตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ก. (ฉบับที่ 45) พ.ศ.2528 มิใช่บังคับตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราภาษีศุลกากร พ.ศ.2530 เพราะจำเลยที่ 1 เลิกกิจการและสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ประกาศยกเลิกบัตรส่งเสริมของจำเลยที่ 1 ก่อนที่ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 จะมีผลใช้บังคับ
ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 มาตรา 10วรรคหนึ่ง ของนำเข้าใดเคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากร ถ้าสิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนสิ้นสุดลง ของนั้นจะต้องเสียอากรโดยถือสภาพของของ ราคาและอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิดังกล่าวสิ้นสุดลงเป็นเกณฑ์ในการคำนวณอากรโดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรต้องไปดำเนินการเพื่อชำระอากรตามที่กำหนดไว้ ส่วนในช่วงก่อนที่สิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรจะสิ้นสุดลง ผู้นั้นก็ได้รับสิทธิและประโยชน์ต่อไป และน่ายังถือว่าเป็นสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับไปแล้ว หากผู้นำของเข้าหมดสิทธิที่จะได้รับสิทธิและประโยชน์ต่อไปมิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้น คือ มิได้ดำเนินการเพื่อชำระอากรดังกล่าว ก็ให้ถือว่าของนั้นได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้เสียอากรถูกต้อง อันอาจถูกพนักงานศุลกากรกักยึดเพื่อประเมินเรียกเก็บภาษีอากร รวมทั้งต้องเสียเงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา เท่านั้น แต่ก็ยังต้องถือว่าเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรโดยทั้งสภาพของของ ราคา และอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิได้รับยกเว้นอากรสิ้นสุดลงตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 อยู่ หาได้หมายความว่า เมื่อผู้นำของเข้ามิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นแล้ว ให้ถือว่าของนั้นได้นำเข้าโดยยังมิได้เสียอากรถูกต้องตามสภาพของของ ราคา และอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำเข้าไม่
หลังจากจำเลยได้รับแจ้งประเมินให้เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ซึ่งรวมถึงหมดสิทธิที่จะฟ้องหรือยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลว่าการประเมินดังกล่าวมิชอบด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3796/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอทุเลาการบังคับคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างอุทธรณ์และการห้ามฎีกาคำสั่งคุ้มครองประโยชน์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งฝ่ายผู้ร้องเป็นผู้ชำระบัญชีร่วมกับฝ่ายผู้คัดค้านเท่ากับมิให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ชำระบัญชีโดยลำพังที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ผู้คัดค้านมีอำนาจดำเนินคดีอื่นที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลต่อไป รวมทั้งมีอำนาจถอนเงินจากธนาคารมาเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เป็นการขอให้มีอำนาจเป็นผู้ชำระบัญชีตามลำพังต่อไปนั่นเองจึงเท่ากับเป็นการขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หาใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาไม่ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านในระหว่างอุทธรณ์ เท่ากับมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั่นเอง และการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับของศาลใดย่อมเป็นอำนาจของศาลนั้นโดยเฉพาะจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาคำสั่งดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3796/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์ที่แท้จริงคือการขอทุเลาการบังคับ ศาลมีอำนาจตัดสินเฉพาะ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งฝ่ายผู้ร้องเป็นผู้ชำระบัญชีร่วมกับฝ่ายผู้คัดค้านเท่ากับมิให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ชำระบัญชีโดยลำพัง ที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ผู้คัดค้านมีอำนาจดำเนินคดีอื่นที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลต่อไป รวมทั้งมีอำนาจถอนเงินจากธนาคารมาเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เป็นการขอให้มีอำนาจเป็นผู้ชำระบัญชีตามลำพังต่อไปนั่นเองจึงเท่ากับเป็นการขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หาใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาไม่ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านในระหว่างอุทธรณ์ เท่ากับมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั่นเอง และการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับของศาลใดย่อมเป็นอำนาจของศาลนั้นโดยเฉพาะ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาคำสั่งดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3634/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กฎหมายถูกยกเลิกแล้ว โจทก์ขอลงโทษจำเลยตามประกาศคณะปฏิวัติที่หมดอายุ คดีไม่อาจลงโทษได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 56,83แต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกโดย พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 3 ก่อนจำเลยกระทำความผิด จึงเท่ากับโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว มิใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวไม่ได้ คดีไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดข้อหานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นอันตรายสาหัส พิจารณาจากระยะเวลาพักฟื้นและผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
แม้บาดแผลของผู้เสียหายจะใช้เวลาในการรักษา 15 วัน แต่การที่ผู้เสียหายทำงานหนักและเล่นกีฬาไม่ได้ตามแพทย์สั่งเป็นเวลา 1 เดือนถือเป็นการทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เป็นอันตรายสาหัสแล้ว
of 54