พบผลลัพธ์ทั้งหมด 212 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแบ่งแยกโฉนดและการแสดงกรรมสิทธิ์จากการครอบครอง: จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องแบ่งแยกโฉนด แม้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครอง
การฟ้องบังคับจำเลยให้แบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแก่โจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามป.พ.พ. มาตรา 1383 นั้น เป็นกรณีที่จำเลยไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่พิพาทและโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ดังนี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้พิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วยจึงควรวินิจฉัยข้อนี้ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือและผลของการขาดการฟ้องร้องเรียกคืนที่ดิน ทำให้สิทธิครอบครองตกเป็นของผู้ครอบครอง
จ. ภรรยาโจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยและไม่สามารถชำระหนี้ได้จึงมอบที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยต่อมาปี 2527 โจทก์กับ จ. ทวงถาม น.ส.3 ก. คืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่คืนให้อ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยแล้ว และจำเลยเป็นผู้ทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ที่ไม่สมบูรณ์และข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วน การพิจารณาเจตนาที่แท้จริงของสัญญา
จำเลยชอบที่จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญากู้ไม่มีผลผูกพันเพราะโจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ ที่นำไปช่วยลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลยได้ไม่เป็นการสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างเมื่อได้นำสัญญากู้มาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาอยู่อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์นั่นเอง และเมื่อทางพิจารณารับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันเปิดกิจการค้าน้ำแข็งก้อน สัญญากู้เป็นเพียงหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปร่วมลงทุนค้าน้ำแข็งก้อนกับจำเลยเท่านั้น กรณีก็มิใช่เป็นการกู้ยืมดังฟ้องโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์ว่าสัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์ แม้จะมีการอ้างเอกสารสัญญากู้ยืมแล้ว
จำเลยกล่าวอ้างว่าเอกสารสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพัน เพราะโจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปช่วยลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลย ดังนั้น จำเลยชอบที่จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างเช่นนั้นได้เพราะเป็นการนำสืบว่าเอกสารกู้ยืมไม่สมบูรณ์นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้ยืม: การนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความไม่สมบูรณ์ของสัญญา
จำเลยกล่าวอ้างว่าเอกสารสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพัน เพราะโจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานคุ้มครองเงินของโจทก์ที่นำไปช่วยลงทุนค้าขายน้ำแข็งก้อนกับจำเลย ดังนั้นจำเลยชอบที่จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างเช่นนั้นได้เพราะเป็นการนำสืบว่าเอกสารกู้ยืมไม่สมบูรณ์นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: การโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 3 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายยิงและใช้ปืนตีผ่านพ้นไปแล้วและขณะผู้เสียหายวิ่งหนีไป จึงไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงเพราะเป็นภยันตรายที่ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายตามเข้ามาตีจำเลยหลังจากยิงจำเลยแล้ว และเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยวิ่งไล่ตามไปกอดปล้ำผู้เสียหายโดยจำเลยไม่ได้ถือมีดไล่ตามไปแทง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม บทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษ และการป้องกันตัวที่พ้นเหตุ
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายหลังจาก จำเลยถูกผู้เสียหายยิงและใช้ปืนตีผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของ จำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษ ที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีดังนี้ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะ ที่ผู้เสียหายตามเข้ามาตีจำเลยหลังจากยิงจำเลยแล้ว และเมื่อ ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามไปกอดปล้ำผู้เสียหาย โดยจำเลย ไม่ได้ถือมีดไล่ตามไปแทงการ กระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมายนั้นเท่ากับ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับเหตุป้องกันตัว
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายยิงและใช้ปืนตีผ่านพ้นไปแล้วและขณะผู้เสียหายวิ่งหนีไป จึงไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงเพราะเป็นภยันตรายที่ผ่านพ้นไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายตามเข้ามาตีจำเลยหลังจากยิงจำเลยแล้ว และเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยวิ่งไล่ตามไปกอดปล้ำผู้เสียหาย โดยจำเลยไม่ได้ถือมีดไล่ตามไปแทง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์อายุผู้เสียหายเป็นสำคัญในความผิดเกี่ยวกับเด็ก หากโจทก์ไม่นำสืบหลักฐานยืนยันอายุ ศาลต้องลดโทษ
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 วรรคสอง และความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 นั้น อายุของผู้เสียหายมีความสำคัญเพราะเป็นองค์ประกอบความผิด โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่า ผู้เสียหายมีอายุไม่เกิน 18 ปี ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ แต่การนำสืบของโจทก์คงมีแต่เพียงผู้เสียหายเบิกความว่า เกิดวันที่เท่าไร เดือนใดปีใด โจทก์ไม่ได้นำสืบหลักฐานที่น่าเชื่อถือ เช่น ใบสูติบัตรทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนให้เห็นว่าผู้เสียหายมีวันเดือน ปีเกิดตามที่กล่าวอ้าง ทั้งปรากฎว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีสามีและได้เลิกกับสามีแล้ว ประกอบกับจำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายมีอายุประมาณ 20 ปี เป็นการโต้แย้งว่าผู้เสียหายไม่ใช่มีอายุ 17 ปีตามที่กล่าวอ้าง กรณีจึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 282 วรรคสอง ไม่ได้จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 282 วรรคหนึ่งและจำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี ตามมาตรา 319.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6474/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายกับผู้บุกรุกที่ดินราชการได้โดยชอบ และไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย
กองทัพบกเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหารตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินและระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการปกครองและวิธีการจัดการที่ดิน (ฉบับที่ 2) จำเลยทั้งสามเป็นนายทหารสังกัดมณฑลทหารบกที่ 2 กองทัพบก ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ดำเนินการตามกฎหมายกับโจทก์ เมื่อพบว่าโจทก์กับพวกทำการขุดดินในที่ดินของกระทรวงกลาโหม จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำตัวโจทก์มาที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมมณฑลทหารบกที่ 2เพื่อสอบถามและให้โจทก์ชี้แจงแล้วส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป การที่โจทก์ถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจเป็นดุลพินิจและอำนาจของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งสามการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์.