คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชาติศักดิ์ ธรรมศักดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 212 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการจ้างงานและการร่วมทำสัญญาขนส่ง กรณีรถออกนอกเส้นทาง
จำเลยที่ 3 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารมีหน้าที่จัดระเบียบการเดินรถยนต์โดยสารขนาดเล็กในเขตกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 3 อนุญาตให้รถยนต์โดยสารขนาดเล็กคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 ร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางสาย 1014 จากปากซอยอุดมสุขถึงปลายซอยดังกล่าว จำเลยที่ 3 ได้ประโยชน์ตอบแทนคือค่าทำสัญญาปีละ 500 บาท เมื่อรถยนต์โดยสารขนาดเล็กได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 3 แล้ว จะมีการประทับตราจำเลยที่ 3 ไว้ที่ตัวรถ นอกจากนั้นจำเลยที่ 3 ยังสงวนสิทธิในการหาประโยชน์จากการโฆษณาทั้งภายในและภายนอกตัวรถยนต์โดยสารขนาดเล็กที่เข้าร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 3 อีกทั้งลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบวินัย และคำสั่งของจำเลยที่ 3 ทุกประการด้วย ถือได้ว่ากิจการเดินรถของรถยนต์โดยสารขนาดเล็กคันเกิดเหตุเป็นกิจการร่วมกันระหว่างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 จ้างจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจึงถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย
เจ้าของรถที่เข้าร่วมกับจำเลยที่ 3 สามารถนำรถออกนอกเส้นทางได้ด้วยเหตุ 3 ประการ คือ ใช้ในราชการ ใช้ในกิจการส่วนตัว และใช้ในเรื่องสาธารณประโยชน์ แต่ต้องขออนุญาตจากจำเลยที่ 3 ก่อน หากฝ่าฝืนสัญญาข้อ 6 ก็ระบุไว้ว่า จำเลยที่ 3 มีสิทธิสั่งห้ามมิให้เจ้าของรถนำรถออกวิ่งรับผู้โดยสารในเส้นทางมีระยะเวลาตามที่จำเลยที่ 3 กำหนด หรือบอกเลิกสัญญาได้ แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 สามารถที่จะนำรถยนต์โดยสารขนาดเล็กคันเกิดเหตุไปใช้นอกเส้นทางที่กำหนดไว้ตามสัญญาได้ เพียงแต่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 3 ก่อนเท่านั้น แม้จะฝ่าฝืนสัญญาข้อนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้สัญญาเลิกกัน เพียงแต่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้น ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1จะขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุออกนอกเส้นทาง แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ดังกล่าวโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ที่ผู้ตายขับและผู้ตายถึงแก่ความตายจึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารขนาดเล็กคันเกิดเหตุรับจ้างเหมาขนส่งนักศึกษารักษาดินแดนเป็นการรับจ้างทำของ นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 3 นั้น แม้จำเลยที่ 3 จะยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 นำรถไปใช้นอกเส้นทางจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดโดยไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว เมื่อโจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 3 ก็มิได้แก้อุทธรณ์ และยกประเด็นนี้ขึ้นว่ากล่าวไว้ในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำบังคับศาลเพื่อรอการลงโทษ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขคำบังคับที่ผิดพลาดได้ตามหลักวิธีพิจารณาความอาญา
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เห็นได้ว่า ประสงค์จะรอการลงโทษให้จำเลยแต่ไม่ปรากฏในคำบังคับของศาลอุทธรณ์ว่าให้รอการลงโทษจำเลย ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพราะความผิดหลง หรือเขียนคำบังคับผิดพลาดไป ซึ่งศาลอุทธรณ์ชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 มิได้มีข้อห้ามไว้ว่าถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดข้อไหนแก้ได้หรือไม่ประการใด จึงน่าจะทำได้ทำนองเดียวกับที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 เมื่อข้อความที่แก้ไขหรือขยายความมิได้กลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หากแต่แก้คำบังคับที่ผิดพลาดให้ถูกต้องจึงย่อมทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 190

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไม่เข้าข่ายพรากเด็กเพื่อการอนาจาร หากเด็กไปโดยสมัครใจ
เด็กหญิงม. อายุ 14 ปี รักใคร่ฉันชู้สาวกับจำเลยมาก่อนและสมัครใจไปกินอยู่หลับนอนกับจำเลยซึ่งยังไม่มีภรรยาที่บ้านญาติจำเลยเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ และได้เสียกับจำเลยหลายครั้ง เมื่อบิดามารดาตามไปพบบอกให้เด็กหญิงม.ไปเรียนหนังสือต่อ เด็กหญิงม.ก็ยอมกลับบ้านโดยมีจำเลยติดตามมาด้วย มารดาจำเลยมาสู่ขอเด็กหญิงม.แต่ตกลงกับบิดาเด็กหญิงม.เรื่องค่าสินสอดกันไม่ได้การกระทำของจำเลยไม่เป็นพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกาศนียบัตรผู้ใหญ่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ แต่เป็นเอกสารราชการ, ศาลมีอำนาจลดโทษแม้ไม่ฎีกา
ประกาศนียบัตรหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน (ประถมศึกษาปีที่ 4) เป็นเอกสารราชการที่แสดงว่า ผู้ได้รับประกาศนียบัตรนั้นจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ไม่ได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ประกาศนียบัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารราชการ แต่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ
ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ มีเหตุสมควรลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยลดโทษให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกาศนียบัตรผู้ใหญ่ไม่ใช่เอกสารสิทธิปลอม การปลอมแปลงเอกสารราชการแต่ไม่เข้าข่ายเอกสารสิทธิ
ประกาศนียบัตรหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน(ประถมศึกษาปีที่ 4) เป็นเอกสารราชการที่แสดงว่า ผู้ได้รับประกาศนียบัตรนั้นจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไม่ได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิประกาศนียบัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารราชการ แต่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์มีเหตุสมควรลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยลดโทษให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการพยายามชิงทรัพย์: การกระทำสนับสนุนและอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมช่วยเหลือ
คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้ด้วยความสมัครใจเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักรับฟังได้ จำเลยกับ ว. คบคิดกันจะขอเงินผู้เสียหาย 20 บาท หากผู้เสียหายไม่ให้จะใช้มีดจี้ขู่เอาเงิน ดังนั้นการที่จำเลยบอกให้ว. ใช้มีดจี้ขู่ผู้เสียหายหลังจากที่ผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินตามที่จำเลยกับ ว. พูดขอถือว่าเป็นการกระทำส่วนหนึ่งของการที่ว. ใช้มีดจี้ขู่ผู้เสียหายตามที่ได้คบคิดกันมาก่อนแล้ว และจำเลยยังอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมจะช่วยเหลือ ว. แต่เมื่อจำเลยไม่ได้ทรัพย์สินไปจากผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับว. พยายามชิงทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยการใช้ต่อเนื่องและการใช้แทนเจ้าของที่ดิน
โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาจากนายฟุ้งเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2515 เพิ่งจะมาปลูกบ้านในที่ดินและใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งเมื่อนับเวลาที่โจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางพิพาทเมื่อปี 2528 จะยังไม่ถึง 10 ปีก็ตามแต่นายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515 ตลอดมาการใช้ทางพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านจึงเป็นการใช้แทนโจทก์เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางพิพาทแทนโจทก์ในปี 2515 ตลอดมา จนกระทั่งโจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองในปี 2519 ต่อ ๆ มา จนจำเลยปิดกั้นทางพิพาทก็เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยการใช้ต่อเนื่องแม้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือ การใช้แทนโจทก์ทำให้ระยะเวลาต่อเนื่องนับรวมได้
แม้โจทก์จะเพิ่งปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 58 เมื่อปลายปี2519 ซึ่งเชื่อได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองเดินออกสู่ถนนทางสาธารณะตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน 2528 รวมเวลาที่โจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองไม่ถึง 10 ปี ก็ตาม แต่โจทก์ก็รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 58มาจาก ฟ.ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี2515ซึ่งฟ.และครอบครัวได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515ตลอดมา การใช้ทางเดินพิพาทของ ฟ. และครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินจึงเป็นการใช้แทนโจทก์ เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่ ฟ. และครอบครัวใช้ทางเดินพิพาทแทนโจทก์ ในปี2515 ตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองในปี2519 ต่อ ๆ มาจนจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน2528 ก็เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางเดินพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 58 ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องและการใช้แทนเจ้าของที่ดิน
โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาจากนายฟุ้งเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2515 เพิ่งจะมาปลูกบ้านในที่ดินและใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งเมื่อนับเวลาที่โจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางพิพาทเมื่อปี 2528 จะยังไม่ถึง 10 ปีก็ตามแต่นายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515 ตลอดมาการใช้ทางพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านจึงเป็นการใช้แทนโจทก์เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางพิพาทแทนโจทก์ในปี 2515 ตลอดมา จนกระทั่งโจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองในปี 2519 ต่อ ๆ มา จนจำเลยปิดกั้นทางพิพาทก็เป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาททั้งสองฝ่ายในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ค่าเสียหายตกเป็นพับ
ช.ขับรถยนต์ของโจทก์แซงรถผู้อื่นใกล้กับสี่แยกแล้วขับเข้าไปในบริเวณสี่แยกด้วยความเร็ว นับว่าเป็น การกระทำโดยประมาท สำหรับจำเลยที่ 1เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกก็ชอบที่จะลดความเร็วของรถลงและตรวจดูให้ปลอดภัยเสียก่อนที่จะขับรถเข้าไปบริเวณสี่แยกแต่จำเลยที่ 1 กลับขับรถด้วยความเร็วโดยประมาทเข้าไปในสี่แยกที่เกิดเหตุ จึงเกิดชนกับรถยนต์ของโจทก์นับได้ว่าทั้งช.และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถด้วยความประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์และรถยนต์ของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายจึงตกเป็นพับทั้งสองฝ่าย
of 22