คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยงยุทธ ธารีสาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ: การเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และความรับผิดในค่าเสียหาย
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างทำของ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหลายรายการ แต่โจทก์คิดเพียง 400,000 บาท โดยแนบภาพถ่ายทาวน์เฮาส์เครื่องโม่ปูน วัสดุก่อสร้างที่เหลือ บ้านพักคนงาน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างตามโครงการก่อสร้างของจำเลยที่ถนนเทพารักษ์มาท้ายฟ้องด้วย แม้มิได้บรรยายว่าโจทก์เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อใด ทำงานเสร็จไปถึงงวดที่เท่าใดวัสดุก่อสร้างที่เหลืออยู่ จำนวนและราคาเท่าใดและการว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างที่เทพารักษ์มีหลักฐานอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา ไม่จำต้องกล่าวในฟ้องทั้งเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ จำเลยต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้วคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
กรณีเพิ่งเริ่มงานตามสัญญา จำเลยก็ไม่ประสงค์ให้โจทก์ทำการก่อสร้าง เหตุบอกเลิกสัญญา ก็อ้างเหตุโจทก์ทิ้งงานเท่านั้น ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จ และโจทก์เองมิได้ทอดทิ้งงาน ส่วนเรื่องโจทก์ก่อสร้างผิดแบบผิดหลักวิชาการก็รับฟังไม่ได้ ดังนี้เมื่อสัญญาจ้างยังไม่ถึงกำหนด และจำเลยผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามาก จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 387 แต่จำเลยก็มิได้ทำเช่นนั้น จึงบอกเลิกสัญญาโดยเหตุดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอม โดยว่าจ้างผู้อื่นก่อสร้างต่อไปและให้เลิกสัญญา จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ และต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง
กรณีจ้างทำของเมื่อจำเลยผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาเอง โดยโจทก์ผู้รับจ้างไม่ได้ทำผิดสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 605
ส่วนค่าเสียหายที่จำเลยต้องรื้อถอนซ่อมแซมและเสียค่าก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากโจทก์ได้
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องโดยมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5295/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องเรียกเงินมัดจำหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีผิดสัญญา
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเรียกค่าเสียหาย 160,000 บาท โดยโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้เป็นเงิน 80,000 บาท ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์80,000 บาท โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาขอเรียกเงินมัดจำ 80,000 บาท คืน มูลกรณีเรื่องเรียก เงินมัดจำคืนเป็นมูลกรณีเดียวกันกับการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา ซึ่งโจทก์อาจฟ้องในคดีแรกได้ การที่โจทก์กลับนำ คดีมาแยกฟ้องจำเลยคนเดียวกันเป็นคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการ รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ อย่างเดียวกันคือมูลกรณีเรื่องผิดสัญญาหรือไม่นั่นเอง จึงเป็น ฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5295/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องเรียกเงินมัดจำซ้ำหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดเรื่องผิดสัญญา
เดิมโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเรียกค่าเสียหาย 160,000 บาท โดยโจทก์ทั้งสองได้วางเงินมัดจำไว้เป็นเงิน80,000 บาท ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง 80,000 บาท โจทก์ทั้งสองกลับมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่า จำเลยผิดสัญญาขอเรียกเงินมัดจำ 80,000 บาท คืน ดังนี้ มูลกรณีเรื่องเรียกเงินมัดจำคืนเป็นมูลกรณีเดียวกันกับการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ซึ่งโจทก์ทั้งสองอาจฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนรวมไปในการฟ้องคดีแรกได้ การที่โจทก์ทั้งสองกลับนำคดีมาแยกฟ้องจำเลยคนเดียวกันเป็นคดีใหม่เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คือมูลกรณีเรื่องผิดสัญญาหรือไม่ นั่นเอง ฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5295/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องเรียกเงินมัดจำหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีผิดสัญญา
เดิมโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเรียกค่าเสียหาย160,000บาทโดยโจทก์ทั้งสองได้วางเงินมัดจำไว้เป็นเงิน80,000บาทศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง80,000บาทโจทก์ทั้งสองกลับมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาขอเรียกเงินมัดจำ80,000บาทคืนดังนี้มูลกรณีเรื่องเรียกเงินมัดจำคืนเป็นมูลกรณีเดียวกันกับการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วซึ่งโจทก์ทั้งสองอาจฟ้องเรียกเงินมัดจำรวมไปในการฟ้องคดีแรกได้การที่โจทก์ทั้งสองกลับนำคดีมาแยกฟ้องจำเลยคนเดียวกันเป็นคดีใหม่เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันคือมูลกรณีเรื่องผิดสัญญาหรือไม่นั่นเองฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: การโอนที่ดินหลังครอบครองเกิน 10 ปี ไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามโอนที่ดินมีโฉนดแก่โจทก์โดยอ้างว่าปู่และย่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนแต่ได้มอบการครอบครองให้เป็นเวลาเกิน10ปีโจทก์เป็นผู้รับมรดกที่ดินพิพาทจากบิดาแล้วครอบครองต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382เมื่อจำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลรับว่าจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้วจะเกี่ยวให้โจทก์ชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้จำเลยที่3ก่อนโอนไม่ได้ข้อที่จำเลยที่3อ้างว่าเป็นบันทึกข้อตกลงให้ชำระค่าใช้จ่ายนั้นความจริงเป็นเพียงบันทึกรายงานการประชุมเท่านั้นประกอบกับจำเลยที่3ไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาด้วยการที่จะให้โจทก์ชำระเงินค่าใช้จ่ายก่อนโอนนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยที่3จะต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ผู้จัดการมรดกต้องโอนตามสัญญา ไม่สามารถเกี่ยงค่าใช้จ่ายได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามโอนที่ดินมีโฉนดแก่โจทก์โดยอ้างว่าปู่และย่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียน แต่ได้มอบการครอบครองให้เป็นเวลาเกิน 10 ปี โจทก์เป็นผู้รับมรดกที่ดินพิพาทจากบิดาแล้วครอบครองต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382เมื่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลรับว่าจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว จะเกี่ยงให้โจทก์ชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้จำเลยที่ 3 ก่อนโอนไม่ได้ ข้อที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นบันทึกข้อตกลงให้ชำระค่าใช้จ่ายนั้น ความจริงเป็นเพียงบันทึกรายงานการประชุมเท่านั้น ประกอบกับจำเลยที่ 3 ไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาด้วย การที่จะให้โจทก์ชำระเงินค่าใช้จ่ายก่อนโอนนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 จะต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4902/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ผู้คัดค้านต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก
ผู้คัดค้านมิได้เป็นทายาทของเจ้ามรดก ทั้งเหตุที่กล่าวอ้างมาในคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินที่ว่าเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจะถูกผู้ร้องใช้สิทธิในการเป็นผู้จัดการมรดกมาบังคับนั้นก็ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่า ที่ดินตามที่กล่าวอ้างเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่เพียงใดซึ่งชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก กรณียังถือไม่ได้ว่า ผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายอันจะก่อให้เกิดสิทธิในการร้องขอให้เพิกถอนผู้จัดการมรดกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4902/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนผู้จัดการมรดก: ผู้คัดค้านต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกจึงจะร้องขอได้
ผู้คัดค้านมิได้เป็นทายาทของเจ้ามรดกทั้งเหตุที่กล่าวอ้างมาในคำร้องคัดค้านว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ว่าเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายและจะถูกผู้ร้องใช้สิทธิในการเป็นผู้จัดการมรดกมาบังคับนั้นก็ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าที่ดินตามที่กล่าวอ้างเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่เพียงใดซึ่งชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากกรณียังถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายอันจะก่อให้เกิดสิทธิในการร้องขอให้เพิกถอนผู้จัดการมรดกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4766/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมแปลงเอกสารราชการด้วยการเปลี่ยนรูปถ่ายในบัตรประชาชนเพื่อใช้แทนบัตรฉบับจริง มีความผิดฐานปลอมเอกสาร
จำเลยนำภาพถ่านที่ม. มอบให้มาตัดให้พอดีกับภาพถ่ายในบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงของน.แล้วนำภาพถ่ายที่ตัดแล้วปิดทับภาพถ่ายของน. ที่ติดอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของน. แล้วถ่ายภาพบัตรและนำภาพถ่ายอัดพลาสติกมอบให้ม.ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อให้ผู้พบเห็นหลงเชื่อว่าภาพถ่ายของม. ในบัตรประชาชนที่ถ่ายเอกสารมาเป็นภาพถ่ายของน.โดยมีวันเดือนปีเกิดและภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในบัตรนั้นเป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร แม้บัตรประชาชนที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสารแต่การกระทำของจำเลยมีลักษณะเพื่อการใช้อย่างต้นฉบับบัตรประจำตัวประชาชนฉบับที่แท้จริงจึงเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา1(8) คดีที่คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4766/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารราชการด้วยการตัดต่อภาพถ่ายในบัตรประจำตัวประชาชน มีเจตนาให้หลงเชื่อว่าเป็นของจริง
จำเลยนำภาพถ่ายของ ม. มาตัดให้พอดีกับภาพถ่ายในบัตรประจำตัวประชาชนของ น. ที่แท้จริงแล้วนำภาพถ่ายที่ตัดแล้วปิดทับภาพถ่ายของ น. ที่ติดอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของ น. ดังกล่าวแล้วถ่ายภาพบัตรและนำภาพถ่ายดังกล่าวอัดพลาสติกมอบให้ ม.โดยคิดค่าทำ15บาทถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้พบเห็นบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวหลงเชื่อว่าภาพถ่ายของม. ในบัตรประจำตัวประชาชนที่ถ่ายมาเป็นภาพถ่ายของ น.โดยมีวันเดือนปีเกิดและภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในบัตรดังกล่าวเป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานสำนักทะเบียนบัตรประชาชนกระทรวงมหาดไทยได้ทำขึ้นจึงเป็นเอกสารราชการตามนิยามของประมวลกฎหมายอาญามาตรา1(8) แม้บัตรประชาชนที่จำเลยทำปลอมขึ้นนั้นจะเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสารแต่การกระทำของจำเลยมีลักษณะเพื่อการใช้อย่างบัตรประจำตัวประชาชนฉบับที่แท้จริงจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคแรกอย่างไรก็ตามแม้จะเป็นคดีที่คู่ความฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
of 94