คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยงยุทธ ธารีสาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ชื่อบริษัทคล้ายเครื่องหมายการค้า: สิทธิในการใช้ชื่อบริษัทไม่ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าหากไม่มีผลกระทบต่อชื่อเสียง
จำเลยตั้งชื่อบริษัทจำเลยตรงกับคำในเครื่องหมายการค้าตราม้าลายของโจทก์และของว. กรรมการของจำเลยไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในการที่จะใช้นามหรือชื่ออันชอบที่จะใช้ได้หรือทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของนามหรือชื่อนั้นต้องเสื่อมเสียประโยชน์จากการที่ผู้อื่นมาใช้นามหรือชื่อเดียวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้ได้ อันจะทำให้โจทก์ มีสิทธิเรียกให้จำเลยระงับความเสียหายและร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามมิให้จำเลยใช้นามหรือชื่อนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 โจทก์ไม่มีสิทธิห้ามจำเลยใช้ชื่อบริษัทตราม้าลาย จำกัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์แต่แจ้งความโดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด - ความผิดทางแพ่ง
เมื่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้าออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ม่านเหล็กบังตาชนิดติดกับประตูเหล็กแบบยืดและพับได้ให้แก่จำเลยแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ใบม่านบังตาสำหรับเหล็กยืดจำเลยได้ยื่นคำคัดค้านต่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้าอธิบดีกรมทะเบียนการค้าวินิจฉัยให้ยกคำคัดค้านของจำเลยจำเลยอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิทธิบัตรจำเลยได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีกับโจทก์เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดผลิตภัณฑ์ของโจทก์เป็นของกลางเมื่อผลิตภัณฑ์ของโจทก์มีลักษณะส่วนใหญ่หรือใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของจำเลยมีข้อแตกต่างกันเพียงในรายละเอียดปลีกย่อยอาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของจำเลยจึงมีเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตรพ.ศ.2522มาตรา36ให้มีสิทธิผลิตผลิตภัณฑ์หรือใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตหรือใช้กรรมวิธีผลิตแต่เพียงผู้เดียวการแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลยจึงมิใช่เป็นการนำข้อความอันเป็นเท็จซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานแต่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อคุ้มครองสิทธิของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าพนักงานตำรวจอายัดและยึดทรัพย์สินต่างๆของโจทก์เป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ใช้ดุลพินิจอายัดและยึดสิ่งของซึ่งน่าจะเป็นพยานหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์หรือยันผู้ต้องหาในคดีอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายของพนักงานสอบสวนไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หากเจ้าพนักงานตำรวจผู้ยึดมิได้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงดูแลรักษาทรัพย์สินของตนเองก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินคดีแก่เจ้าพนักงานตำรวจให้รับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดโจทก์จะมาเรียกร้องจากจำเลยไม่ได้แม้ตามบันทึกการตรวจค้นระบุว่าจำเลยยอมรับผิดต่อโจทก์ในการยึดและอายัดสิ่งของทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์กับทรัพย์สินพิพาท การเป็นผู้รับจ้างตัดไม้ไม่อาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในไม้ได้
โจทก์เป็นผู้รับจ้างตัดและขนไม้ให้ ย. ผู้รับสัมปทานเมื่อไม้ถูกยึดแม้โจทก์จะเสียค่าใช้จ่ายในการตัดไม้นั้นก็ถือไม่ได้ว่าไม้ที่ตัดเป็นของโจทก์เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้รับสัมปทานทั้งไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยโจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในไม้ตัดจากการจ้างช่วง: ไม่มีนิติสัมพันธ์โดยตรงกับผู้รับสัมปทาน ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าไม้
โจทก์เป็นผู้เช่ากิจการบริษัทโรงเลื่อยจักร บ. จำกัด ซึ่งรับจ้างตัดและขนไม้ให้แก่บริษัท ย. จำกัด ผู้รับสัมปทานทำไม้จากจำเลย โจทก์มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติต่อบริษัท ย. จำกัด ผู้รับสัมปทานตามสัญญาจ้างเท่านั้น ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยทั้งสอง แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการตัดไม้ของกลาง และมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาไม่ริบไม้ของกลาง ก็จะถือว่าไม้ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าขายไม้ของกลางให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์กับไม้พิพาท แม้มีค่าใช้จ่ายและคำพิพากษาไม่ริบไม้ก็ไม่ทำให้เป็นเจ้าของได้
โจทก์เป็นผู้เช่ากิจการบริษัทโรงเลื่อยจักร บ. จำกัดซึ่งรับจ้างตัดและขนไม้ให้แก่บริษัท ย. จำกัดผู้รับสัมปทานทำไม้จากจำเลยโจทก์มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติต่อบริษัท ย. จำกัดผู้รับสัมปทานตามสัญญาจ้างเท่านั้นไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยทั้งสองแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการตัดไม้ของกลางและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาไม่ริบไม้ของกลางก็จะถือว่าไม้ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หาได้ไม่โจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าขายไม้ของกลางให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์หมดอายุ ทำให้คดีเพิกถอนสิทธิบัตรไม่มีประโยชน์ความคุ้มครอง
พระราชบัญญัติสิทธิบัตรพ.ศ.2522มาตรา62วรรคหนึ่งบัญญัติว่า"สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุเจ็ดปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร"จำเลยได้ขอรับสิทธิบัตรตามสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เลขที่71และ64เมื่อวันที่5มิถุนายน2524และเลขที่73เมื่อวันที่28ตุลาคม2524สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยจึงสิ้นสุดอายุลงตั้งแต่วันที่5มิถุนายน2531และวันที่28ตุลาคม2531ตามลำดับแล้วตามมาตราดังกล่าวซึ่งเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการออกสิทธิบัตรทั้งสามฉบับให้แก่จำเลยแบบผลิตภัณฑ์เม็ดยาตามสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตรพ.ศ.2522ภายหลังจากนั้นอีกต่อไปเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยไม่สมบูรณ์และขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรนั้นแต่ขณะนี้ปรากฏว่าสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยสิ้นอายุไปแล้วคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไปชอบที่ศาลฎีกาจะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้มีสิทธิก่อนย่อมฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้อื่นได้ แม้ยังมิได้จดทะเบียน
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา16วรรคสองเพียงแต่บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่รับจดทะเบียนไปให้ทราบตามวรรคหนึ่งของมาตรา16มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามมาตรา19ทวิได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งเหตุที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนนั้นโดยมิได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นใช้สิทธิดำเนินคดีทางศาลโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทอันจดทะเบียนไว้ในประเทศฝรั่งเศสได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทแต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนให้โดยอ้างว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของส.ซึ่งนายทะเบียนได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้วต่อมาส. ได้โอนให้จำเลยโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าและขอให้คณะกรรมการรอการวินิจฉัยไว้ก่อนซึ่งคณะกรรมการได้มีคำสั่งให้รอการวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไว้เพื่อรอคำพิพากษาของศาลการที่โจทก์คดีขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วโดยโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทได้ใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าของโจทก์แพร่หลายมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้วทั้งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของโจทก์ไว้ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศต่างๆไม่น้อยกว่า90ประเทศจึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยผู้ที่จดทะเบียนไว้แล้วขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของจำเลยอันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา41(1)โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องได้ โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นการที่โจทก์ผู้ขอจดทะเบียนได้ใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา16วรรคสองอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามมาตรา22วรรคสี่(1)อันเป็นกรณีที่มีผู้คัดค้านการขอจดทะเบียนแล้วนายทะเบียนได้ให้คำวินิจฉัยกรณีนี้ไม่มีการคัดค้านการขอจดทะเบียนของโจทก์แต่เป็นเรื่องที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนให้โจทก์เองเพราะเห็นว่าเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียนนั้นเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วกรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา22และไม่ตัดสิทธิของโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงจะดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของตนเมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนของส. และต่อมาส. โอนสิทธิเครื่องหมายการค้าให้จำเลยโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำขอจดทะเบียนและทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามมาตรา41(1)สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาสู่ศาลโดยฟ้องจำเลยต่อศาลเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าพิพาทจึงไม่สิ้นไป โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยเพราะได้ใช้มาก่อนซึ่งเป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1)โจทก์หาได้ฟ้องคดีเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าโจทก์ตามมาตรา29ไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของตนในประเทศไทยก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81-82/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดและละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า
แม้รูปลักษณะการวางตัวอักษรโรมันของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยจะแตกต่างกันโดยเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัวอักษรโรมันSPSในแนวนอนส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัวอักษรโรมันSPSซ้อนกันในแนวตั้งก็ตามแต่การอ่านออกเสียงเครื่องหมายการค้าทั้งสองก็อ่านว่า"เอสพีเอส"เช่นเดียวกันทั้งยังใช้กับสินค้าจำพวกกางเกงในเหมือนกันด้วยสาธารณชนจึงอาจหลงผิดได้โดยง่ายว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์เมื่อจำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ได้ใช้ตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ในแนวนอนเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์สำหรับสินค้ากางเกงในการที่จำเลยนำตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ซ้อนกันในแนวตั้งไปจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลยสำหรับสินค้าจำพวกเครื่องนุ่งห่มและแต่งกายซึ่งรวมถึงสินค้ากางเกงในจึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมุ่งประสงค์จะแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยแอบอิงเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยไม่สุจริตเพื่อให้ผู้ซื้อซึ่งจำคำเรียกขานของเครื่องหมายการค้าของโจทก์เข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์แม้โจทก์ยังมิได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในขณะที่จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโจทก์ก็มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ดีกว่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติ: สิทธิการครอบครองเหนือระยะเวลาฟ้องแย่งการครอบครอง
ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันจำเลยและจำเลยร่วมไม่มีสิทธิยกเอาระยะเวลาฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน1ปีตามป.พ.พ.มาตรา1375ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ก่อนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7427/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้าและเจตนาในการหลอกลวงสาธารณชนเพื่อพิจารณาการละเมิดเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นรูปใบหน้าคนทำครัวสวมหมวก มีมือข้างเดียวถือขวดโดยไม่มีส่วนแขน ลำตัว และเท้า แม้รูปส่วนของจำเลยจะประดิษฐ์ขึ้นแต่ก็มองได้ออกอย่างชัดเจน ว่าเป็นคน ส่วนของโจทก์เป็นรูปตัวการ์ตูนทรงกระบอกรูปขวด มีหมวก ตา ปาก มือ และลำตัว ซึ่งดัดแปลงมาจากขวดของน้ำมันพืช สำหรับเครื่องหมายการค้าส่วนที่เป็นตัวอักษร ส่วนของโจทก์เป็นอักษรไทยคำว่า กุ๊ก และอักษรโรมันคำว่า COOK เป็นอักษรเพียงพยางค์เดียว แต่ส่วนของจำเลยเป็นอักษรไทยคำว่ากุ๊กทอง มี 2 พยางค์ และอักษรโรมันคำว่า COLDENCOOK มี3 พยางค์ ลักษณะของเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นขอจดกับที่โจทก์จดทะเบียนเป็นเจ้าของไว้แล้วจึงไม่เหมือนหรือคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน เพราะไม่ทำให้ประชาชนสับสนหรือเข้าใจผิดถึงแหล่งกำเนิดสินค้า นอกจากนั้นสินค้าของโจทก์มีเพียงชนิดเดียวคือ น้ำมันพืช ส่วนของจำเลยผลิตสินค้า ซอสถั่วเหลือง ซอสพริก น้ำปลา ซีอิ้วและเต้าเจี้ยวโดยไม่ได้ผลิตน้ำมันพืชแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยคือสินค้าของโจทก์
of 94