พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและความรับผิดทางอาญา
การที่ขณะเกิดเหตุ ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษอยู่ที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาที่จังหวัดอุตรดิตถ์กับ อ. พี่ชายอายุ 18 ปี ผู้เสียหายฝากด. ซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครนั้น ไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไปผู้เยาว์ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหาย
การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาเป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุ 31 ปี มีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาเป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุ 31 ปี มีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความของผู้เสียหายในคดีอาญา ทำให้สิทธิการฟ้องคดีอาญาเป็นอันระงับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันกระทำผิดต่อเสรีภาพและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง,310 วรรคแรก,83เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง จำเลยฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความว่าผู้เสียหายไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทุกข้อหา ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 278 และ 310 วรรคแรก ออกจากสารบบความคงมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง หรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรก เท่านั้นซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้ และคดียังไม่ถึงที่สุดการที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นการยอมความกันในความผิดที่ศาลฎีกาวินิจฉัยนี้ด้วย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีอาญาและการระงับการฟ้องร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันกระทำผิดต่อเสรีภาพและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพตาม ป.อ. มาตรา 309วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด อีกกระทงหนึ่ง จำเลยฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความว่าผู้เสียหายไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทุกข้อหาศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 278 และ 310 วรรคแรกออกจากสารบบความ คงมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง หรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรก เท่านั้น ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้ และคดียังไม่ถึงที่สุด การที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นการยอมความกันในความผิดที่ศาลฎีกาวินิจฉัยนี้ด้วย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5512/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลเสียค่าขึ้นศาลฎีกา ทำให้การฟ้องคดีถูกทิ้งฟ้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วถอนชื่อจำเลยจากโฉนดที่ดินและให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินคืนโจทก์หรือกองมรดกเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
ศาลฎีกามีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ยอมเสียภายในเวลาที่กำหนด ถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
ศาลฎีกามีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ยอมเสียภายในเวลาที่กำหนด ถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5512/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ชำระค่าขึ้นศาล แม้คดีมีทุนทรัพย์ ศาลสั่งจำหน่ายคดี
โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วถอนชื่อจำเลยจากโฉนดที่ดินและให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินคืนโจทก์หรือกองมรดก เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ศาลฎีกามีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ถูกต้องแต่โจทก์ไม่ยอมเสียภายในเวลาที่กำหนด ถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5483/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพันตามกฎหมาย แม้จะเกิดขึ้นหลังสัญญากู้เงินเดิม
จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาได้ทำเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความว่า ข้าพเจ้าได้กู้เงิน บ.(โจทก์) เป็นเงิน 100,000 บาท จะผ่อนส่งคืนให้หมดสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 แล้วลงท้ายด้วยการลงชื่อของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นข้อความที่แสดงแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นหนี้เงินกู้โจทก์รายนี้จริง จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่มีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172(เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5483/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาได้ทำเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความว่า ข้าพเจ้าได้กู้เงิน บ. (โจทก์) เป็นเงิน100,000 บาท จะผ่อนส่งคืนให้หมดสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 แล้วลงท้ายด้วยการลงชื่อของจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นข้อความที่แสดงแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นหนี้เงินกู้โจทก์รายนี้จริง จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่มีผลบังคับได้ตามป.พ.พ.มาตรา 172 (เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5339/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมลวงซื้อขายที่ดินเพื่อจำนอง ศาลสั่งให้จำเลยไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์คืน
การที่โจทก์จดทะเบียนขายที่ดินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยนำที่ดินไปประกันเงินกู้ของนางสาว ป. โดยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงหนังสือสัญญาขายที่ดินจึงเกิดขึ้นโดยเจตนาลวง เป็นโมฆะ จำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคาร แต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ซึ่งการบังคับโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำให้กระทบถึงสิทธิของผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ดังนั้นในกรณีนี้หากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองก่อน ก็ให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5339/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมซื้อขายที่ดินโดยเจตนาลวง และผลกระทบต่อสิทธิของผู้รับจำนอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและเนื่องจากโจทก์เป็นหนี้ธนาคารจำนวนมาก แต่ที่ดินพิพาทมีราคาต่ำ ธนาคารไม่มีความเชื่อถือที่จะให้โจทก์ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินได้โจทก์จึงต้องแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันโอนขายให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แล้วให้จำเลยนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่ ป. เป็นผู้กู้จากธนาคารแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ต่อมาจำเลยนำที่ดินไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่ธนาคารอีก โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และปฏิเสธไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามคำฟ้อง แต่ศาลก็ไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะจะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้รับจำนอง เว้นแต่จะได้มีการชำระหนี้โดยครบถ้วนจึงจะดำเนินการไถ่ถอนจำนองได้ ดังนั้น หากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองแล้ว จึงต้องให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4891/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต, ความเหมือน/คล้ายคลึง, การลวงสาธารณชน
โจทก์แสดงให้เห็นความเป็นมาของการใช้อักษรโรมันคำว่าRENOMA เป็นชื่อทางการค้าของ ช. บิดาของ ม.ประธานกรรมการใหญ่ของโจทก์ตั้งแต่ปี 2480 และการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำดังกล่าวในประเทศฝรั่งเศสในปี 2502 และปี 2509 ตลอดจนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำดังกล่าวในประเทศอื่น ๆในภายหลังและการโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นของ ช. ให้โจทก์ จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันดังกล่าว ที่จำเลยอ้างว่าคิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวขึ้นโดยต้องการให้มีความหมายว่า จำเลยไม่มีแม่อีกแล้วนั้น ก็ปรากฏตามคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยว่าจำเลยได้ระบุว่าคำว่า RENOMA เป็นอักษรโรมันอ่านว่ารีโนมา แปลไม่ได้ และปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวมีรูปลักษณะตรงกับรูปลักษณะเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า RENOMA ซึ่งเป็นตัวพิมพ์เล็กภายในกรอบสี่เหลี่ยมของโจทก์ทุกประการ รวมทั้งลักษณะการเอียงขึ้นของเส้นขวางในตัวอักษร "e" และสัดส่วนของช่องว่างระหว่างตัวอักษรแต่ละตัวด้วยการที่รูปลักษณะเครื่องหมายการค้าของจำเลยตรงกับรูปลักษณะของเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการเช่นนี้ หากจำเลยไม่เคยเห็นเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์มาก่อน ก็ยากที่เครื่องหมายการค้าของจำเลยจะมีรูปลักษณะตรงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการเช่นนั้น นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวยังคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า RENOMAซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กซึ่งมิได้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมอีกด้วย ปรากฏว่าจำเลยเคยเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเช่น สิงคโปร มาเลเซีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง และหลังจากโจทก์ได้รับโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า RENOMA มาจากช.แล้ว โจทก์ได้นำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไปจดทะเบียนไว้ในประเทศต่าง ๆ ประมาณ30 ประเทศ และโจทก์ได้ส่งสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายยังต่างประเทศในทวีป ต่าง ๆ สินค้าของโจทก์มีวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าโซโก้ใกล้สถานีรถไฟที่เมืองโกเบประเทศญี่ปุ่น และโจทก์ได้โฆษณาเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในนิตยสารและหนังสือต่าง ๆ ในประเทศต่าง ๆทั้งได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไว้ในประเทศญี่ปุ่น ประเทศสิงคโปร์ และเมืองฮ่องกงด้วยจึงเชื่อได้ว่าจำเลยซึ่งเคยเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นประเทศสิงคโปร์ และเมืองฮ่องกง ได้เห็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในระหว่างที่เดินทางไปท่องเที่ยวเช่นนั้นแล้วจำเลยได้นำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามที่ได้เห็นมานั้นมายื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า RENOMA ดีกว่าจำเลยและขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า RENOMA ซึ่งเป็นตัวพิมพ์เล็กในกรอบสี่เหลี่ยมของจำเลยมีรูปลักษณะRENOMA ซึ่งเป็นตัวพิมพ์เล็ก ในกรอบสี่เหลี่ยมของโจทก์ทุกประการ แม้กระทั่งลักษณะการเอียงขึ้นของเส้นขวางในตัวอักษร "e" และสัดส่วนของช่องว่างระหว่างตัวอักษรและเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวยังคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า "RENOMA" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กซึ่งมิได้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมอีกด้วยจึงเห็นได้โดยชัดแจ้งว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนกับหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้ว