พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับจำนวนเฮโรอีน
ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
โจทก์ฎีกาว่า เฮโรอีนของกลางจำนวน 2 ห่อเล็กที่สายลับนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ กับเฮโรอีนอีกจำนวน 2 หลอดและ 1 ห่อเล็กที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดได้จากตัวจำเลยเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกันจำเลยจึงมีความผิด 2 กรรม เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า เฮโรอีนของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
โจทก์ฎีกาว่า เฮโรอีนของกลางจำนวน 2 ห่อเล็กที่สายลับนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ กับเฮโรอีนอีกจำนวน 2 หลอดและ 1 ห่อเล็กที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดได้จากตัวจำเลยเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกันจำเลยจึงมีความผิด 2 กรรม เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า เฮโรอีนของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ การครอบครองเพื่ออยู่อาศัยโดยไม่แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
คดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่า พยานผู้ร้องยกเว้น ป. และ ศ. ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไรสำหรับ ป. และ ศ.ซึ่งเบิกความว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมาจาก อ. ก็ขัดกับเอกสารและเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และการที่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้านเมื่อมีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในนามของคนอื่นก็ดี หรือนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคารก็ดี ดูจะเป็นเหตุผิดปกติวิสัย ยกเว้นแต่ผู้ร้องจะทราบดีว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทเท่านั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ การครอบครองโดยไม่มีเจตนาดังกล่าวไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
คดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่า พยานผู้ร้องยกเว้น ป.และ ศ. ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไรสำหรับ ป.และ ศ. ซึ่งเบิกความว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมาจาก อ. ก็ขัดกับเอกสารและเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และการที่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้าน เมื่อมีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในนามของคนอื่นก็ดี หรือนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคารก็ดี ดูจะเป็นเหตุผิดปกติวิสัย ยกเว้นแต่ผู้ร้องจะทราบดีว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทเท่านั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม
ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และสิทธิในการยกอายุความของผู้ซื้อฝากจากทายาทเจ้ามรดก
แม้โจทก์จะไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดก แต่โจทก์เป็นผู้ซื้อฝากทรัพย์พิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก โจทก์จึงย่อมมีสิทธิที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกเช่นกันได้ แม้ผู้ร้องสอดที่ 2 ถึงที่ 5 จะไม่ทราบเรื่องจำเลยนำทรัพย์พิพาทไปขายฝากให้โจทก์ก็ไม่ทำให้สิทธิดังกล่าวของโจทก์เสียไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะต้องกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การปล่อยเวลาผ่านไปนานถึง 3 ชั่วโมง ไม่อาจอ้างบันดาลโทสะได้
ขณะที่จำเลยทราบว่าภรรยาจำเลยถูกผู้เสียหายปลุกปล้ำกระทำชำเรานั้น จำเลยไม่ได้แสดงอาการโกรธหรือจะทำร้ายผู้เสียหายแต่ได้ออกไปหาปลาร่วมกับผู้เสียหายโดยมีเวลานานถึง 3 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงได้ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายจึงมิใช่เป็นการกระทำต่อผู้ถูกข่มเหงในขณะนั้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะต้องกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การกระทำหลังเวลาผ่านไปไม่ถือเป็นบันดาลโทสะ
การจะอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น นอกจากจะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้วยังต้องกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นด้วย แม้การที่ผู้เสียหายเป็นชู้กับภรรยาจำเลยจะเป็นการข่มเหงจำเลยซึ่งเป็นสามีอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก็ตามแต่การที่จำเลยทราบเรื่องจากภรรยาแล้วภายหลังจากนั้นเป็นเวลานานถึง 3ชั่วโมง จึงได้ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายนั้น การกระทำของจำเลยมิใช่การกระทำในขณะกระชั้นชิดต่อเนื่องยังไม่ขาดตอน จึงมิใช่การกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการคัดค้านการขายทอดตลาด: ผู้สู้ราคาไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย
ผู้ร้องเป็นเพียงผู้สู้ราคาคนหนึ่งในการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีโดยตรงทั้งมิได้เป็นบุคคลผู้ที่ชอบจะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบหรือที่ได้ยื่นคำร้องขอตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288,289 และ 290 อันเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ผู้ร้องจึงมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ไม่มีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการคัดค้านการขายทอดตลาด: ผู้สู้ราคาไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย
ผู้มีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาด ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่บังคับคดี คือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีโดยตรง หรือเป็นผู้ที่ชอบจะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบ หรือได้ยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 288,289 และ 290อันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น ผู้ร้องเป็นเพียงผู้สู้ราคาในการขายทอดตลาด มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ไม่มีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาด ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย: การยกเลิกสัญญาต้องทำกับคู่สัญญาโดยตรง การโต้แย้งสิทธิของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้โจทก์ จะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2531ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยจะขายที่ดินให้ผู้อื่นในราคาสูงกว่าโจทก์จึงแจ้งให้จำเลยไปทำการโอนที่ดินให้โจทก์ภายในวันที่ 10มิถุนายน 2531 แต่จำเลยหลบหน้าไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์วันที่13 มิถุนายน 2531 โจทก์จึงฟ้องจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรับเงินที่เหลือและโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยให้การว่า ได้มีการยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกันแล้ว จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แสดงว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินนั้นแล้ว เงื่อนเวลาจึงไม่เป็นข้อที่จำเลยจะอ้างเป็นประโยชน์ได้อีกต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้มีชื่อในโฉนดเมื่อถูกฟ้องให้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการครอบครอง การร้องคัดค้านในชั้นบังคับคดี
ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและนัดไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง และได้มีคำสั่งให้ประกาศนัดไต่สวนทางหนังสือพิมพ์และให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาคำร้องให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดิน หากประสงค์จะคัดค้านประการใดให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลภายในวันนัดไต่สวนคำร้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดยื่นคำคัดค้าน จนศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งไปแล้วต่อมาผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ถึงแม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกคำร้องเพราะเห็นว่าผู้คัดค้านเป็นบุคคลภายนอกก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีของผู้ร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188(4) บัญญัติให้ถือว่าบุคคลเช่นนั้นเป็นคู่ความผู้คัดค้านจึงเป็นคู่ความผู้มีส่วนได้เสียในคดีมีสิทธิอุทธรณ์และขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดที่ดินโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ที่ดินมีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง การที่ผู้ร้องนำคำสั่งศาลไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเป็นชื่อของผู้ร้อง ย่อมถือได้ว่าเป็นการดำเนินการในชั้นบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้ย่อมจะเกิดความเสียหายแก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ผู้คัดค้านจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งและถูกโต้แย้งสิทธิผู้คัดค้านจึงชอบที่จะร้องขอเข้ามาในชั้นบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้ร้องคัดค้านเข้าไปในคดีก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นบุคคลภายนอกคดีจึงสามารถพิสูจน์ในชั้นนี้ได้ว่า ผู้คัดค้านมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ผูกพันผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) โดยไม่ต้องให้ผู้คัดค้านไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ศาลชั้นต้นต้องรับคำร้องของผู้คัดค้านไว้เพื่อวินิจฉัยถึงข้อโต้แย้งสิทธิของผู้คัดค้านในชั้นบังคับคดี