พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาลักทรัพย์แม้ยังไม่ได้เคลื่อนย้าย ถือเป็นความพยายามลักทรัพย์
จำเลยมีเจตนาลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย แต่จำเลยเพียงแต่นั่งคร่อม ยังไม่ได้เอารถออก จึงเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว หากแต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายเข้ามากอดเอวไว้ ทำให้จำเลยเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปไม่ได้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร-ใช้เอกสารปลอม: จำเลยไม่รู้ว่ารถเป็นของโจรและไม่ได้ใช้เอกสารปลอม ศาลยกฟ้อง
รถของผู้เสียหายไป พบอยู่ในความครอบครองของจำเลย พบรอยขูดลบเลขหมายประจำเครื่องยนต์มีการตัดต่อเชื่อมบริเวณหมายเลขประจำคัสซี กับมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนปลอมซึ่งมีรอยลบสีของตัวรถติดอยู่ ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนเป็นของรถคันอื่น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจสอบหลักฐานการใช้รถ จำเลยไม่ได้หลบหนีและนำเอกสารมาให้ตรวจสอบโดยดี ทั้งแจ้งว่าขอยืมรถมาจาก จ. โดยไม่มีข้อพิรุธ แสดงว่าจำเลยรับรถไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร และการที่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่มีการปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน การที่รถที่จำเลยครอบครองมีเอกสารดังกล่าวไว้ จะถือว่าจำเลยใช้หรืออ้างเอกสารปลอมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจมอบอำนาจสัญญาเช่าซื้อ, สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากรถชน, และฎีกาที่ไม่ชัดเจน
บริษัทโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ จ.และอ.ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อแทนโจทก์ จ.และอ.ย่อมมีอำนาจลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้โดยไม่ต้องระบุในสัญญาเช่าซื้ออีกว่าโจทก์มอบอำนาจให้ จ.และอ.กระทำการแทน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าซ่อมรถยนต์ดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องมีการซ่อมรถยนต์ดังกล่าวเสียก่อน จำเลยที่ 2 กล่าวในฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18ต่อปี เกินกว่าดอกเบี้ยที่กฎหมายบัญญัติไว้ ฉะนั้นดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมายแต่มิได้กล่าวว่าดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวเกินกว่าดอกเบี้ยตามกฎหมายใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจ, สัญญาเช่าซื้อ, การเลิกสัญญา, ค่าเสียหายจากรถยนต์ชำรุด, สิทธิฟ้อง
บริษัทโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ จ. และอ.ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อแทนโจทก์จ. และ อ.กระทำการแทนโจทก์ได้โดยไม่ต้องระบุในสัญญาเช่าซื้ออีกว่าโจทก์มอบอำนาจให้ จ. และ อ. กระทำการแทน เมื่อรถยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อม มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าซ่อมรถยนต์จากจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีการซ่อมรถยนต์ดังกล่าวเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การข่มขู่ต้องร้ายแรงถึงขนาดจูงใจให้ทำสัญญา หากเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรม สัญญาไม่ตกเป็นโมฆียะ
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ตรวจพบว่าสินค้าและเงินในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 สูญหายไป และจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับผิดชอบ โจทก์ข่มขู่ว่าจะจับกุมดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอก จำเลยที่ 1 จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ดังนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของโจทก์ที่พึงใช้สิทธิของตนตามปกตินิยม กรณีหาใช่เป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลใช้บังคับได้ คู่ฉบับเอกสาร ถือว่าเป็นต้นฉบับเอกสารด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานในข้อเท็จจริง จึงไม่อาจฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 8ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 8 รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยที่ 8 จ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 เข้าไปตัดถาง หญ้าในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 8 อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้ยึดถือครอบครองถาง ป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยที่ 8 ว่าจ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 มาถาง ที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่เกิดเหตุเป็นการปลูกป่าของทางราชการ จึงขาดเจตนากระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโดยเชื่อตามคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ว่าประชาชนทั่วไปทราบดีว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติจึงมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 8ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,122(พ.ศ. 2528)คลาดเคลื่อน เพราะหลงเชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์โดยไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดในกฎกระทรวงซึ่งมิได้ระบุว่าหมู่ที่ 5 ตำบลระบำ อำเภอลานสัก ตามฟ้องเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากในอำเภอลานสักคงมีแต่ตำบลลานสักและตำบลป่าอ้อเท่านั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ: ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและการวินิจฉัยพยานหลักฐาน
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 8 ไม่เกิน5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที๋ 8 รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยที่ 8 จ้างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เข้าไปตัดถางหญ้าในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 8อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้ยึดถือครอบครองถางป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติการที่จำเลยที่ 8 ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 มาถางที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่เกิดเหตุเป็นการปลูกป่าของทางราชการ จึงขาดเจตนากระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยเชื่อตามคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ว่าประชาชนทั่วไปทราบว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ทราบดีว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครรองป่าสงวนแห่งชาติ จึงมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 8 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1, 122 (พ.ศ.2528) คลาดเคลื่อน เพราะหลงเชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์โดยไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดในกฎกระทรวงซึ่งมิได้ระบุว่า หมู่ที่ 5ตำบลระบำ อำเภอลานสัก ตามฟ้องเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากในอำเภอลานสักคงมีแต่ตำบลล่านสักและตำบลป่าอ้อเท่านั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในคดีคำขอพิจารณาใหม่
ปัญหาว่าโจทก์จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่เป็นประเด็นในคดีที่มีคำขอให้พิจารณาใหม่ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม ได้ให้อำนาจแก่ศาลที่จะเรียกพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมได้ หากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานนั้นมาสืบเพิ่มเติม การที่ศาลชั้นต้นเรียกสมุดนัดความของเจ้าหน้าที่ศาลและเรียกเจ้าหน้าที่ศาลมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น จึงเป็นการนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมโดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4949/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีและการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท: ผลของการลาออกและการมอบอำนาจ
การที่ ส.ลงลายมือชื่อร่วมกับช.มอบอำนาจให้ จ.ฟ้องจำเลยเป็นการกระทำภายหลังจาก ส.ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดแล้ว จึงไม่ต้องด้วยข้อบังคับของโจทก์ตามหนังสือรับรองที่กำหนด ให้กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ คือ ส.ช. และ จ. สองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทจึงจะกระทำการผูกพันโจทก์ การกระทำของ ส. เป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ จ. ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ ความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทโจทก์กับ ส. ผู้เป็นกรรมการนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1167 บัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้น ส.ย่อมจะบอกเลิกการเป็นผู้แทนของโจทก์เสียในเวลาใด ๆก็ได้ทุกเมื่อ และย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826,827,386 หาใช่มีผลต่อเมื่อโจทก์ได้นำไปจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วไม่ ส่วนการบังคับให้จดทะเบียนตามมาตรา 1023 นั้นเป็นกรณีที่โจทก์จะถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกถึงการ เปลี่ยนแปลงยังไม่ได้ จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือ ราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในฐานะ ผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์ มิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์จึงนับว่าเป็นบุคคลภายนอกย่อมจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4949/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจฟ้องคดีหลังพ้นจากตำแหน่งกรรมการ: อำนาจฟ้องเป็นโมฆะ
การที่ ส.ลงลายมือชื่อร่วมกับ ช. มอบอำนาจให้ จ.ฟ้องจำเลยเป็นการกระทำภายหลังจาก ส.ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดแล้ว จึงไม่ต้องด้วยข้อบังคับของโจทก์ตามหนังสือรับรองที่กำหนดให้กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ คือ ส. ช. และ จ. สองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทจึงจะกระทำการผูกพันโจทก์ การกระทำของ ส.เป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ จ.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์
ความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทโจทก์กับ ส.ผู้เป็นกรรมการนั้นป.พ.พ. มาตรา 1167 บัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้น ส.ย่อมจะบอกเลิกการเป็นผู้แทนของโจทก์เสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ และย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826,827, 386 หาใช่มีผลต่อเมื่อโจทก์ได้นำไปจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วไม่ ส่วนการบังคับให้จดทะเบียนตามมาตรา 1023 นั้นเป็นกรณีที่โจทก์จะถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกถึงการเปลี่ยนแปลงยังไม่ได้ จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในฐานะผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์ มิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์ จึงนับว่าเป็นบุคคลภายนอกย่อมจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้
ความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทโจทก์กับ ส.ผู้เป็นกรรมการนั้นป.พ.พ. มาตรา 1167 บัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้น ส.ย่อมจะบอกเลิกการเป็นผู้แทนของโจทก์เสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ และย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826,827, 386 หาใช่มีผลต่อเมื่อโจทก์ได้นำไปจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วไม่ ส่วนการบังคับให้จดทะเบียนตามมาตรา 1023 นั้นเป็นกรณีที่โจทก์จะถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกถึงการเปลี่ยนแปลงยังไม่ได้ จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในฐานะผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์ มิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์ จึงนับว่าเป็นบุคคลภายนอกย่อมจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้