คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยงยุทธ ธารีสาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองลิขสิทธิ์งานต่างประเทศ: ฟ้องต้องระบุชัดเจนว่ากฎหมายต่างประเทศให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ของภาคีอื่นด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าวีดีทัศน์ของโจทก์เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายเมืองฮ่องกงซึ่งประเทศอังกฤษภาคีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมทำ ณกรุงเบอร์น นำเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของตนเข้าผูกพันตามอนุสัญญาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย มิได้กล่าวในฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าวด้วย และถ้อยคำที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่า ทั้งประเทศไทยและเมืองฮ่องกงต่างได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งกันและกันรวมถึงงานภาพยนตร์ วีดีทัศน์ด้วย จึงได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายไทยนั้น ก็ไม่อาจแปลไปได้ว่ากฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญา ฟ้องโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าวีดีทัศน์ของโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการฟ้องคดีอาญา ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ: การคุ้มครองตามอนุสัญญาเบอร์น และข้อกำหนดในการฟ้องคดี
คดีความผิดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าวีดีทัศน์ของโจทก์ตามฟ้อง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายเมืองฮ่องกงซึ่งประเทศอังกฤษภาคีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมทำ ณ กรุงเบอร์น นำเมืองฮ่องกง ซึ่งเป็นอาณานิคมของตนเข้าผูกพันตามอนุสัญญาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยแต่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีแห่งอนุสัญญาดังกล่าวด้วย และถ้อยคำที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่า ทั้งประเทศไทยและเมืองฮ่องกงต่างได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งกันและกันรวมถึงงานภาพยนตร์วีดีทัศน์ด้วย ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวจึงได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายไทยนั้น ก็ไม่อาจแปลไปได้ว่า กฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญา ฟ้องโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าวีดีทัศน์ตามฟ้องมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2521ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการฟ้องคดีอาญา ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองแทนผู้ชนะคดี ไม่ถือเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตน
จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในบ้านและทำไร่ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1จะได้ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีอาญาต่อจำเลยที่ 1 ก็ตามจะถือว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ เพราะเป็นเพียงการครอบครองแทนผู้ชนะคดีเท่านั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ภายหลังที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่เกิน1 ปี จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน การครอบครองแทนผู้ชนะคดี และอำนาจฟ้องจากการมอบอำนาจ
บุตรและภรรยาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีอาญากล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกครอบครองที่พิพาทของโจทก์ก็ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 เพราะเป็นเพียงการครอบครองแทนผู้ชนะคดี เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ยังไม่เกิน 1 ปีจำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อหนังสือมอบอำนาจของ ก. ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ก.มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจจัดการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถือได้ว่า ก. ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1378.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2779/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างและหุ้นส่วนทางธุรกิจต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางละเมิดของลูกจ้าง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของ ท. สามีจำเลยที่ 2 ได้ขับรถคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของ ท. เมื่อรายได้จากกิจการเดินรถคันดังกล่าวท. ได้นำมาใช้จ่ายในครอบครัว แม้ค่าเช่าซื้อรถก็ใช้เงินที่มีอยู่ในครอบครัวที่สะสมไว้ จึงเป็นการดำเนินกิจการร่วมกัน จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนของ ท. ผู้เป็นสามีด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชำระค่าเสียหายในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายจากหนี้สินล้นพ้นตัว แม้จะมีรายได้แต่ไม่เพียงพอชำระหนี้
จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์เป็นเงิน 266,304 บาทและเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 3 ราย เป็นเงิน 92,250 บาทเศษจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้และจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้แม้จำเลยจะมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท ก็ไม่พอฟังว่าสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้สินล้นพ้นตัว: จำเลยมีหนี้หลายรายและไม่มีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้
จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์เป็นเงิน 266,304 บาทและเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 3 ราย เป็นเงิน 92,250 บาทเศษ จำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้และจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้ แม้จำเลยจะมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท ก็ไม่พอฟังว่าสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจำนองในคดีล้มละลาย: พิจารณาช่วงเวลาการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองเพื่อพิจารณาการเพิกถอนตามมาตรา 115
จำนองเป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งมีผลเมื่อมีการจดทะเบียนการจำนองที่พิพาทมีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองเมื่อวันที่17 กันยายน 2529 จึงเป็นการที่ลูกหนี้ผู้จำนองเอาที่พิพาทตราไว้แก่ผู้คัดค้านในวันดังกล่าว หาใช่ถือเอาวันที่ลูกหนี้และผู้คัดค้านไปแจ้งความจำนงขอจดทะเบียนจำนองที่พิพาทในวันที่ 1 สิงหาคม 2529ไม่ และไม่ว่าจะถือเอาวันแสดงความจำนงขอจดทะเบียนจำนองหรือวันที่จดทะเบียนจำนองดังกล่าวแล้ว นับถึงวันฟ้องคือวันขอให้ล้มละลายวันที่ 31 ตุลาคม 2529 ก็ยังอยู่ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายเช่นกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอให้เพิกถอนการจำนองที่พิพาทให้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 115 ข้อที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าวันขอให้ล้มละลายคือวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น เมื่อผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นคัดค้านมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นประเด็นและไม่มีสาระควรแก่การยกขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 115 ให้ผู้ร้องเพิกถอนการกระทำได้โดยอาศัยเพียงลูกหนี้ได้กระทำโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น หาได้บัญญัติถึงความสุจริตและมีค่าตอบแทนของผู้ถูกเพิกถอนไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจำนองก่อนล้มละลาย: วันที่จดทะเบียนสำคัญกว่าวันยื่นคำขอ
การจำนองที่ได้กระทำไว้ในระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายซึ่งจะต้องถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 นั้น มาตรา 115 ถือเอาวันที่จดทะเบียนจำนองเป็นวันนับระยะเวลาดังกล่าว มิใช่ถือเอาวันที่ลูกหนี้และผู้รับจำนองไปแจ้งความจำนงขอจดทะเบียนจำนอง เพราะว่าจำนองเป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งมีผลเมื่อมีการจดทะเบียนการจำนอง ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้เพิกถอนการกระทำของลูกหนี้ได้โดยอาศัยเพียงลูกหนี้ได้กระทำโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบเหนือเจ้าหนี้อื่น หาได้บัญญัติถึงความสุจริตและมีค่าตอบแทนของผู้ถูกเพิกถอนไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้อนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำสั่งศาล: การแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งภายในกำหนดเวลา แม้จะยืดยาวแต่ยังอ่านเข้าใจได้
จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับไว้แล้วคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าเยิ่นเย้อ และสับสน มีคำสั่งให้จำเลยทำรวมเป็นฉบับเดียวกันใน 15 วันจำเลยได้ทำคำให้การและฟ้องแย้งยื่นมาใหม่ภายในกำหนด ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งแล้วแม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่ยื่นมาใหม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแล้วจะยืดยาวแต่สามารถอ่านเข้าใจได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้.
of 94