พบผลลัพธ์ทั้งหมด 933 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องโดยไม่สุจริตในคดีล้มละลาย ศาลเพิกถอนการโอนและกำหนดดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินผู้คัดค้านจำนวน 5,000,000 บาทและได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 5,000,000 บาท มอบให้ผู้คัดค้านไว้กำหนดชำระเงินเมื่อทวงถาม จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ให้เช่าซื้อไปให้ผู้คัดค้านจำนวน 84 รายเป็นเงิน6,761,375 บาท เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งกระทำขึ้นในระหว่างระยะเวลา 3 ปีก่อนมีการฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้ล้มละลาย โดยผู้คัดค้านรับโอนมาโดยไม่สุจริต เจ้าพนักงานพิทักษ์ย่อมขอให้เพิกถอนการโอนได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อที่ยังค้างชำระอยู่กลับคืนมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจากผู้เช่าซื้อต่อไปได้ ส่วนผู้คัดค้านต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้แล้วตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดในเงินค่าเช่าซื้อที่ยังมิได้รับชำระ การเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 114 เป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือเป็นการโอนโดยชอบอยู่ ยังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไป การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยมากไปกว่าที่ผู้คัดค้านต้องรับผิดตามกฎหมาย เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้นโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน เพิกถอนได้หากผู้รับโอนรู้ถึงฐานะหนี้สินของผู้โอน
การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่าให้จำเลยกู้ยืมเงินครั้งละ500,000 บาท รวม 4 ครั้ง และผู้คัดค้านที่ 2 อ้างว่าให้จำเลย กู้ยืมเงินรวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 1,300,000 บาท โดยไม่มีหลักฐาน การจ่ายเงินหรือหลักฐานการกู้ยืมเงิน และไม่มีหลักประกันใด ๆ ทั้งที่เงินที่ให้กู้ยืมก็มีจำนวนมาก และผู้คัดค้านที่ 1 ก็เป็น ผู้ประกอบการค้าน่าจะมีบัญชีเงินฝากในธนาคารซึ่งสามารถนำสืบถึง หลักฐานการจ่ายเงินให้กู้ได้ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 นำสืบว่าให้ กู้ไปแล้วได้รับชำระหนี้เป็นหุ้นกู้จึงทำลายหลักฐานการกู้ยืมรวม ทั้งเช็คที่จำเลยจ่ายให้ ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 อ้างเพียงว่าให้ จำเลยกู้ยืมเงิน โดยไม่มีพยานหลักฐานใด มาสืบสนับสนุนข้ออ้าง จึง ไม่น่าเชื่อว่าผู้คัดค้านทั้ง สองได้ให้จำเลยกู้ยืมเงินจริง ทั้ง ในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านทั้งสองให้การว่าผู้คัดค้านทั้งสองรู้จักสนิทสนมกับ ช.กรรมการผู้จัดการบริษัทท. มานานแล้ว การรับโอนหุ้นของจำเลย ก็โอนมาจากบริษัทดังกล่าว นี้ ดังนั้น ผู้คัดค้านทั้งสองจึงน่าจะรู้ถึงฐานะและการมีหนี้สิน ของจำเลยดี และรู้ถึงการที่จำเลยถูกโจทก์ฟ้องและถูกบังคับคดี การที่ผู้คัดค้านทั้งสองรับโอนหุ้นของจำเลยไว้จึงเป็นการรับโอนไว้โดย ไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน การเพิกถอนการโอนหุ้นเป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยัง ไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอนก็ยังถือเป็นการโอน โดย ชอบอยู่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แต่งทนายความแก้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากการเพิกถอนการโอนหุ้นเริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอน ไม่ใช่แต่วันยื่นคำร้อง
การเพิกถอนการโอนหุ้นเป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือเป็นการโอนโดยชอบอยู่ ถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้รับโอนต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการจุดไฟเผาหญ้า การพิสูจน์ความประมาท และขอบเขตความรับผิด
จำเลยและ ส.จุดไฟเผาหญ้าในสวนของตน โดยจุดแล้วดับในร่องสวนทีละร่องไล่กันไปจนถึงร่องที่เกิดเหตุ ต่อมาจำเลยกลับไปก่อนปล่อยให้ส.กับต. ช่วยกันดับไฟที่จุดแล้วไม่ปรากฏว่าการดับไฟที่เหลืออยู่นั้นเกินกำลังของ ส.และต. ที่จะช่วยกันดับได้การที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นภายหลังลุกลามไหม้สวนข้างเคียงเสียหายเกิดจากความประมาทของ ส. ที่ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการดับไฟ หาใช่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยไม่จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางประมาทจากการจุดไฟเผาหญ้า: ผู้จุดไฟไม่ต้องรับผิดหากความเสียหายเกิดจากความประมาทของผู้ดับไฟ
จำเลยและ ส.จุดไฟเผาหญ้าในสวนของตน โดยจุดแล้วดับในร่องสวนทีละร่องไล่กันไปจนถึงร่องที่เกิดเหตุ ต่อมาจำเลยกลับไปก่อน ปล่อยให้ ส.กับ ต.ช่วยกันดับไฟที่จุดแล้วไม่ปรากฏว่าการดับไฟที่เหลืออยู่นั้นเกินกำลังของ ส.และ ต.ที่จะช่วยกันดับได้ การที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นภายหลังลุกลามไหม้สวนข้างเคียงเสียหายเกิดจากความประมาทของ ส.ที่ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการดับไฟ หาใช่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยประมาทจากการจุดไฟเผาหญ้า: จำเลยไม่ต้องรับผิดหากการดับไฟที่เหลืออยู่ในกำลังของผู้อื่น
จำเลยกับ ส.ช่วยกันจุดไฟเผาหญ้าตามร่องสวน แล้วดับไปทีละร่อง ต่อมาเมื่อจำเลยกลับไปแล้วไฟได้ลุกไหม้ขึ้น เมื่อได้ความว่าขณะที่จำเลยกลับไปมี ส.กับค. ช่วยกันดับไฟอยู่แล้วและการดับไฟที่เหลือไม่เกินกำลังบุคคลทั้งสอง แต่การที่ไฟเกิดลุกไหม้ขึ้นภายหลังเกิดจากความประมาทของ ส. ที่มิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการดับไฟ ดังนี้ การจุดไฟและละเว้นไม่อยู่ช่วยดับไฟของจำเลย ยังไม่เป็นการกระทำโดยประมาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีขายทอดตลาด: จำเลยต้องยื่นคัดค้านภายใน 8 วัน หากเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย มิฉะนั้นไม่มีสิทธิอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยแก่ผู้ประมูลได้ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาทรัพย์ที่ขายต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และจำเลยไม่ทราบวันนัดขายทอดตลาดดังนี้ เท่ากับเป็นการอ้างว่าการบังคับคดีได้กระทำโดยไม่ชอบเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่ต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา 27 และมาตรา 296 วรรคสอง ป.วิ.พ. กล่าวคือ จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ไม่ช้ากว่าแปดวัน นับแต่วันที่ได้ทราบการฝ่าฝืนนั้น เมื่อจำเลยมิได้ร้องคัดค้านตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการรู้ถึงการตายของลูกหนี้: การสะดุดหยุดของอายุความเมื่อได้รับแจ้งการตายและหลักฐานการชำระหนี้
คำว่า การได้รู้หรือควรได้รู้ตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หมายความว่า ต้องเป็นการรู้โดยแน่นอนมีหลักฐานยืนยัน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบจากรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้นำหนังสือขอให้ชำระหนี้ไปส่งให้แก่นาย ผ.ว่าพบหญิงคนหนึ่งแจ้งว่านายผ. ได้เสียชีวิตไปแล้วก็เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นยังฟังเป็นแน่นอนหาข้อยุติไม่ได้และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยมีหนังสือสอบถามไปยังนายทะเบียนท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของนาย ผ.ก็ได้รับคำตอบว่า ได้แจ้งย้ายออกไปอยู่ ณ ที่แห่งอื่น ครั้นสอบถามไปยังนายทะเบียนท้องถิ่นที่ได้มีการแจ้งย้ายออกไปอยู่ดังกล่าวกลับได้รับแจ้งว่าไม่ปรากฏชื่อของนาย ผ. ในบ้านเลขที่ดังกล่าวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจตรวจสอบได้ว่า นาย ผ.ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วจริงหรือไม่ ต่อมาโจทก์ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่า นาย ผ. ถึงแก่กรรมแล้วพร้อมทั้งแสดงใบมรณบัตร และผู้ร้องเป็นทายาทของนาย ผ. ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รู้ถึงการตายของนาย ผ. แล้วนับแต่ได้รับแจ้งจากโจทก์ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องในฐานะทายาทนาย ผ. ซึ่งเป็นระยะเวลาภายใน 1 ปี นับแต่ได้รู้หรือควรรู้การตายของลูกหนี้ดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง หนี้ไม่ขาดอายุความ ตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จำเลยยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครระบุว่า นาย ผ. ถือหุ้นจำเลยอยู่ 200 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท ชำระเงินแล้วหุ้นละ 250 บาท ดังนี้เมื่อผู้ร้องนำสืบลอย ๆ ว่า นาย ผ. น่าจะได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้ในนั้นทุกประการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1024
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความทวงหนี้หลังเจ้ามรดกเสียชีวิต: การรู้หรือควรรู้ถึงการเสียชีวิตเป็นเหตุสะดุดอายุความ
ป.พ.พ. มาตรา 1754 ห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก กรณีต้องเป็นการรู้โดยแน่นอน มีหลักฐานยืนยัน โจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่า เจ้ามรดกถึงแก่กรรมพร้อมทั้งแสดงใบมรณบัตรและมีผู้ร้องเป็นทายาท ต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รู้ถึงการตายของเจ้ามรดกนับแต่นั้น เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องในฐานะทายาทของเจ้ามรดกซึ่งเป็นระยะเวลาภายใน 1 ปีนับแต่ได้รู้หรือควรรู้ถึงการตายของลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้ามรดก จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ดังนี้หนี้ยังไม่ขาดอายุความ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นนั้น ป.พ.พ. มาตรา 1024 สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้ทุกประการ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากจำเลยเปลี่ยนคำให้การในชั้นฎีกา โต้แย้งข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างว่าที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานและงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การมีประเด็นว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำต่อ เจ้าพนักงานที่ดินมีเจตนาหลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีน้อยลงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นโมฆะแต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับอ้างว่าคำให้การจำเลยมีประเด็นว่าจำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วน โดยที่ดินราคาเพียง 350,000 บาทเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 650,000 บาท จำนวนที่เกินไป 300,000 บาทเป็นการนำเอาค่านายหน้าและดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกฎหมายกำหนดมารวมเข้าด้วย คำให้การจำเลยจึงชัดเจนแล้ว เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249