คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สถิตย์ เล็งไธสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 76 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหลังศาลชั้นต้น และการไม่รับวินิจฉัยฎีกาในประเด็นใหม่
จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดและตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307อ้างว่าที่ดินสองแปลงพร้อมอาคารพาณิชย์ที่ยึดมาบังคับคดีติดจำนองเจ้าหนี้รายอื่นร่วมกับที่ดินของจำเลยอีกหลายแปลงพร้อมอาคารพาณิชย์ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าภายหลังศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงหลายประการโดยจำเลยได้นำเงินสดไปวางที่กรมบังคับคดีเพื่อชำระหนี้รายอื่นแล้ว และได้ขอปลดหนี้จำนองอีกรายหนึ่งในวงเงินสิบหกล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 835/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเมื่อปัญหาข้อกฎหมายไม่กระทบผลคำพิพากษาเดิม แม้ได้รับอนุญาตให้ฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์เป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ร่วมได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อปัญหาข้อกฎหมายนั้นแม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วได้ ดังนี้ ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกคืนทรัพย์มรดก: จำเลยต้องเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน จึงเป็นบุคคลที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ตามฟ้องคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกที่ได้รับจากผู้ตาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยวิสาสะและความเข้าใจโดยปริยายในการใช้ทรัพย์สินของวัดโดยไม่เจตนาทุจริต
วัดเป็นเสมือนหนึ่งสมบัติส่วนกลางซึ่งชาวบ้านใช้สอย ร่วมกันสิ่งใดที่ราษฎรได้กระทำไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าทำได้ การจับปลาในสระของวัดเกิดจากอาหารไม่เพียงพอเลี้ยงดูกันสำหรับมื้อ กลางวันในวันเกิดเหตุ จึงปรารภกันทอดแหจับปลาในสระของวัดขึ้นมาประกอบอาหารรับประทานกันด้วยความรู้สึกร่วมกันของทุกคน ณ ที่นั้นว่าพึงทำได้ แม้จำเลยทั้งสองกับ ม. และ ส. ทำกันเพียง 4 คน ก็ทำด้วยความยินยอมพร้อมใจในบรรดาราษฎรในสถานที่นั้นด้วยกันทุกคน เพราะในที่สุดจะได้รับประทานด้วยกัน เป็นการกระทำด้วยความรู้สึกว่าเจ้าอาวาสวัดยินยอมโดยปริยาย ประกอบกับจำเลยทั้งสองกับพวกจับปลาขึ้นมาเพียง6 ตัว และเมื่อถูกพระทักท้วง จำเลยทั้งสองกับพวกก็มิได้ดื้อดึงทำต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการกระทำด้วยวิสาสะคิดว่ามีสิทธิทำได้อาจเป็นเพราะว่าเจ้าอาวาสได้พูดเป็นนัยไว้ก่อนหน้าวันเกิดเหตุให้ใช้ของวัดในกรณีขาดแคลนก็ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจึงขาดเจตนาทุจริต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินวัดโดยความยินยอมโดยปริยายและขาดเจตนาทุจริต
วัดเป็นเสมือนสมบัติส่วนกลางซึ่งชาวบ้านใช้สอยร่วมกันและแม้แต่สถานที่ของวัดชาวบ้านก็ร่วมกันใช้ประกอบกิจการต่าง ๆอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมดังกรณีสาธิต การทำปุ๋ยหมักในวันเกิดเหตุการจับปลาในสระของวัดก็เช่นกัน เกิดจากอาหารไม่เพียงพอในการเลี้ยงดูสำหรับมื้อกลางวัน จึงปรารภกันทอดแหจับปลาในสระของวัดขึ้นมาประกอบอาหารด้วยความรู้สึกร่วมกันโดยปริยายว่าเจ้าอาวาสยินยอมให้กระทำได้ดังที่เจ้าอาวาสได้พูดไว้ก่อนหน้าวันเกิดเหตุให้ใช้ของวัดในกรณีขาดแคลนได้ ดังนี้เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันจับปลาขึ้นมาประกอบอาหารรับประทานกัน พฤติการณ์จึงเป็นการกระทำด้วยวิสาสะขาดเจตนาทุจริต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินมัดจำและค่าเสียหายจากสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ไม่ใช่การฟ้องบังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ ศาลมีอำนาจพิจารณาตามภูมิลำเนาจำเลย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืน กับเรียกค่าเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว เป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลยเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของลูกหนี้ร่วมในความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
จำเลยซึ่งขับรถยนต์โดยสารกับ ส. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายนั่งซ้อน ท้ายมาต่างประมาทด้วยกัน มิใช่เป็นการร่วมกันกระทำละเมิด ผู้ตายมิได้มีส่วนทำความผิดด้วย และความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกันเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างลูกหนี้ร่วม ตามป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบด้วยมาตรา 291 จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยกับ ส. จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ ส. ด้วยกันเอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดกรณีบุคคลหลายคนเป็นหนี้ร่วมกัน ลูกหนี้ร่วมกันต้องรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด
การที่ ด.บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นเพราะจำเลยกับส.ต่างประมาท มิใช่เป็นการร่วมกระทำละเมิด เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้กระทำละเมิดทุกคนต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ประกอบมาตรา 291 ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยประมาทน้อยกว่า ส.จึงให้จำเลยรับผิดเพียง3 ใน 10 ส่วน ตามความร้ายแรงแห่งละเมิดหาได้ไม่ เพราะด.มิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ผู้กระทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างผู้กระทำละเมิดด้วยกันเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันสิทธิของตนได้หากการกระทำเป็นไปเพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย
ผู้เสียหายเมาสุราหาเรื่องเข้าชกจำเลยที่ 2 ก่อนจำเลยที่ 2 จึงชกสวนผู้เสียหายชกพลาดเนื่องจากเมาสุราจึงล้มคว่ำกับพื้นได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นเพียงการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายทำร้ายเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 2 จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และได้กระทำพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแชร์: ความผูกพันระหว่างลูกวง และอำนาจฟ้องคืนเงินเมื่อนายวงแชร์หลบหนี
การเล่นแชร์เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างผู้เล่น จำเลยทั้งสองและโจทก์ทั้งสิบเอ็ดต่างเป็นลูกวงแชร์ ต่างมีความผูกพันต้องส่งเงินตามที่ตกลงกันในการเล่นและย่อมมีสิทธิในการเข้าประมูลระหว่างลูกวงแชร์ด้วยกัน จึงต้องมีความผูกพันต่อกันหาใช่จะผูกพันเฉพาะแต่นายวงแชร์ไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ประมูลได้และรับเงินไปแล้ว จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่มีความผูกพันกับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้ การที่นายวงแชร์หลบหนีสัญญาแชร์จึงเลิกเล่นกันก่อนที่จะมีการประมูลกันในงวดต่อไป คู่กรณีจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งสองต้องส่งเงินที่รับไปคืนโจทก์ทั้งสิบเอ็ด
of 8