คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุญสิน ตุลากัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 125 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่: การตกลงผ่อนชำระหนี้แทนการใช้สิทธิไล่เบี้ย ทำให้หนี้เดิมระงับ
โจทก์จำนองที่ดินเป็นประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยต่อธนาคาร เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลยไปตามจำนวนที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคาร โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 724 แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ย กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกัน มีข้อความสรุปว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ ศ.และโจทก์เป็นเงิน 300,000 บาทจำเลยได้มอบเช็คจำนวน 6 ฉบับ ฉบับละ 50,000 บาท ไว้เป็นประกันเงินกู้และจำเลยจะต้องผ่อนชำระเงินกู้ให้โจทก์เดือนละ 3,000 บาทจนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่มีผลให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้นโจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ตามหนังสือสัญญาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ทำให้หนี้เดิมระงับ สิทธิเรียกร้องเปลี่ยนไปตามสัญญาใหม่
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร ท. โดยโจทก์จำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้แก่ธนาคาร ท.โจทก์ได้ชำระแทนจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 724แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกันมีข้อความว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ศ. และโจทก์มีการมอบเช็คไว้เป็นประกันเงินกู้ และตกลงจะผ่อนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวทุกเดือนจนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามเอกสารที่ทำต่อกันเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ในเอกสารนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนัดสืบพยานนอกสถานที่และการขาดนัดพิจารณา ศาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนโดยนัดแรกจำเลยขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่พิพาทและศาลก็ได้ไปเผชิญสืบในวันที่จำเลยขอ ถือได้ว่าเป็นการสืบพยานและวันดังกล่าวเป็นวันสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(10) ดังนั้นการที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และโจทก์ที่ 6 ร่วมไปเผชิญสืบที่พิพาทในวันดังกล่าวย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้มาศาลในวันสืบพยานตามมาตรา 197 วรรคสองแล้ว แม้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และโจทก์ที่ 6 จะไม่มาศาลในวันสืบพยานจำเลยนัดต่อมาก็ตามก็ไม่เป็นการขาดนัดพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันสืบพยานและการขาดนัดพิจารณา: การเผชิญสืบที่พิพาทถือเป็นการสืบพยานแล้ว
จำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนขอเผชิญสืบที่พิพาท และศาลได้ไปเผชิญสืบในวันที่จำเลยขอ ถือได้ว่าเป็นการสืบพยานและวันดังกล่าวเป็นวันสืบพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(10)ประกอบมาตรา 102 วรรคแรก การที่โจทก์ได้ร่วมไปเผชิญสืบในวันนั้นย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้มาศาลในวันสืบพยานตามมาตรา 197 วรรคสอง แม้โจทก์จะไม่มาศาลในวันสืบพยานจำเลยนัดต่อมา ก็ไม่เป็นการขาดนัดพิจารณาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้วสืบพยานจำเลยต่อไปโดยมิได้สืบพยานฝ่ายโจทก์ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาย่อมเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่มิชอบดังกล่าวเสียตามมาตรา 243(2) ประกอบด้วยมาตรา 247โดยพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์ขาดนัดพิจารณาและกระบวนพิจารณาภายหลังจากนั้นทั้งหมดกับให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทิศทางให้เป็นสาธารณะโดยปริยายจากการใช้ประโยชน์ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยมิได้โต้แย้ง
ราษฎรได้ใช้ทางพิพาทมานานเกินกว่า 10 ปี โดยไม่มีผู้ใดอ้างตนเองเป็นเจ้าของและผู้ใช้ทางเดินดังกล่าวก็ไม่ต้องขออนุญาตผู้ใด ถือว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว ทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณประโยชน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3806/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีเล่นแชร์: ทุนทรัพย์แต่ละวงไม่เกิน 50,000 บาท ทำให้ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เล่นแชร์กับจำเลยรวม 3 วง แล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ ทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงต้องแยกออกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง แชร์ทั้งสามวงมีทุนทรัพย์ที่พิพาท 30,804 บาท16,748 บาท และ 22,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3746/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลมีอำนาจลดจำนวนลงให้เหมาะสมกับความเสียหายที่แท้จริงได้
หลังจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ชนเสาอากาศวิทยุของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 35,752 บาทแล้ว จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์มีข้อความสรุปได้ว่าจำเลยทั้งสองตกลงจะซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุและอุปกรณ์วิทยุให้ถูกต้องสามารถใช้การได้ดี แข็งแรงได้มาตรฐานของทางราชการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 20 วันนับตั้งแต่วันทำสัญญา ถ้าจำเลยทั้งสองผิดสัญญายอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 90,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาทตามหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันไว้นั้น เป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเบี้ยปรับตามมาตรา 379 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และเบี้ยปรับนั้นแม้จะได้กำหนดกันไว้ในสัญญา แต่ก็มิได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าจะต้องให้เป็นไปตามนั้น ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3311/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิ้นหนี้ตามสัญญาจำนองเมื่อเจ้าหนี้ไม่ประสงค์ให้มีการจำนองค้ำประกันเพิ่มเติม และการไม่ผูกพันหนี้ใหม่ต่อผู้จำนอง
เมื่อจำเลยที่ 1 บอกกล่าวเป็นหนังสือให้โจทก์ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ให้โจทก์จำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนางสาว บ. ต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ฟ้องโจทก์กับนางสาว บ. ให้ชำระหนี้ เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว หนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันและสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(1) หนี้ที่นางสาว บ.กู้เงินจำเลยที่ 1 หลังจากจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์กับนางสาว บ.จึงหาผูกพันโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3086/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง กรณีร่วมกันประกอบกิจการขนส่ง
จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและนำมาร่วมกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ดำเนินการรับขนส่งสินค้า โดยส่งคนขับรถของจำเลยที่ 4 มาขับรถ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการขนส่งสินค้าในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงต้องรับผิดในผลการละเมิดของลูกจ้างต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทมารดาถือเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์มีสิทธิเรียกคืนทรัพย์สินที่ยกให้ได้
โจทก์ยกที่ดินให้จำเลย และให้จำเลยยืมเงินอีกจำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ไปทวงเงินคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนกลับด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาว่า "อีสำเพ็ง อีหัวหงอก กูไม่ให้อยากจะได้ให้ไปฟ้องร้องเอา" การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์เรียกถอนคืนการให้ที่ดินได้
of 13