พบผลลัพธ์ทั้งหมด 323 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่: แม้รายละเอียดฟ้องไม่สมบูรณ์ แต่ศาลไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม หากจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ และการนำสืบไม่เกินขอบเขตคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขออาศัยที่ดินพิพาทจากโจทก์เมื่อเดือนธันวาคม 2526 แต่ไม่บรรยายว่าขณะนั้นโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้อย่างไร และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขออาศัยเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขัดแย้งกันนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถึงการเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยเป็นผู้อาศัยโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ข้อที่ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองอย่างไร เมื่อใด เป็นเพียงรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ส่วนที่ฟ้องขัดแย้งกันบ้างเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจผิดพลาดได้ เมื่ออ่านคำฟ้องทั้งฉบับก็พอเข้าใจได้ทั้งจำเลยก็สามารถให้การสู้คดีได้แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจาก น. แต่นำสืบว่าจำเลยขายฝากที่ดินพิพาทให้ น. ต่อมาจำเลยกู้เงินโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้ไถ่ถอนการขายฝากจาก น. และตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนการขายฝากแล้วจำเลยจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ ครั้นเมื่อจำเลยนำเงินชำระหนี้ น. แล้ว จำเลยไม่มีเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์จำเลยและ น.จึงตกลงกันให้ น. โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการซื้อที่ดินพิพาทจาก น. ว่ามีขั้นตอนอย่างไร จนผลสุดท้ายเกิดการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับโจทก์ โดยผลจากการที่โจทก์เป็นผู้ออกเงิน ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย: การนับระยะเวลาเริ่มเมื่อโจทก์ทราบการละเมิดและตัวผู้รับผิด
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยนั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์จำเลยเคยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้เถียงไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ เพราะจำเลยไม่ได้ยกข้อโต้เถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า กรณีไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยโจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งว่าจำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่โจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่ง: เริ่มนับเมื่อทราบเหตุละเมิดและตัวผู้กระทำผิด หลังคณะกรรมการสอบสวนแจ้งผล
คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว ผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็น ของคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี ให้โจทก์ทราบว่าจำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่งวันใด จึง ถือได้ว่าโจทก์ทราบเหตุละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น โจทก์ฟ้องคดีภายในหนึ่งปี คดีโจทก์จึง ยังไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: เริ่มนับเมื่อผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำผิด
วันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยขับรถยนต์ของกองทัพเรือโจทก์ไปตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ชนกำแพงเรือนจำทหารเรือ ทำให้รถยนต์และกำแพงเสียหาย โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง กรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527ว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะมีเหตุสุดวิสัย ตามความเห็นดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการละเมิดหรือมีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในขณะนั้น โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้ง ขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลังได้แจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบ ถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2529 ยังไม่เกิน 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำเหมืองสาธารณะ การละเมิดสิทธิการใช้น้ำ และความเสียหายจากการกีดกั้นการใช้น้ำ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวและมิได้ยกปัญหาข้อนี้มาโต้แย้งในคำแก้อุทธรณ์ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าลำเหมืองพิพาทจำเลยทั้งสองเป็นผู้ขุดขึ้นเองเพื่อระบายน้ำเข้านา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำเหมืองสาธารณะ การถมลำเหมืองละเมิดสิทธิ และความเสียหายจากการขาดน้ำทำนา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวและมิได้ยกปัญหาข้อนี้มาโต้แย้งในคำแก้อุทธรณ์ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าลำเหมืองพิพาทจำเลยทั้งสองเป็นผู้ขุดขึ้นเองเพื่อระบายน้ำเข้านา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิการใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะ การถมลำเหมืองกระทบสิทธิทำนาของผู้อื่น
ลำเหมืองพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง เป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม โจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาของจำเลยทั้งสองใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้วจำเลยทั้งสองถมลำเหมืองพิพาท ทำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองทำนาได้ตามปกติ จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และคำเบิกความของพยานผู้เห็นเหตุการณ์
แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนร้ายจะสวมหมวกซึ่งคลุมใบหน้าไว้ก็ตามแต่ พ. พยานโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีความคุ้นเคยกันฉันญาติ จึงมีเหตุผลอยู่ที่ พ. จะจำจำเลยที่ 1 ได้จากเสียงและรูปร่างลักษณะการที่ระบุตัวจำเลยที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานตำรวจล่าช้าไปบ้างก็เป็น เรื่องธรรมดาที่ในตอนแรก พ. อาจคิดช่วยเหลือจำเลยที่ 1 รวม ทั้งกลัวภัยที่จะเกิดแก่ตน จึงไม่ทำให้น้ำหนักคำ พ. เป็นพิรุธถึงกับรับฟังไม่ได้ เพื่อพิจารณาประกอบผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 1 กับลายนิ้วมือแฝง ของคนร้ายที่ขวดสุรา ของกลาง ปรากฎว่าเป็นลายนิ้วมือของบุคคลคนเดียวกัน ทำให้พยาน หลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: ราคาประเมินตามราคาตลาด และเขตอำนาจศาลที่ถูกต้อง
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางพิเศษ มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 23วรรคท้าย ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28พฤศจิกายน 2515 เกี่ยวกับเงินค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง บัญญัติไว้ในข้อ 76 ว่า "เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้วให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้ (1) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ" จำเลยจะกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่านี้โดยถือตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินหาได้ไม่ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเป็นคดีนี้ มีมูลเหตุมาจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืน มูลคดีจึงเกิดขึ้นที่ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ การที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้นั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: ราคาค่าทดแทนตามราคาตลาด และเขตอำนาจศาลที่ถูกต้อง
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางพิเศษ มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 23 วรรคท้าย ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515เกี่ยวกับเงินค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง บัญญัติไว้ในข้อ 76 ว่า "เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้วให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้(1) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ" จำเลยจะกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่านี้โดยถือตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินหาได้ไม่
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเป็นคดีนี้ มีมูลเหตุมาจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืน มูลคดีจึงเกิดขึ้นที่ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ การที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้นั้นชอบแล้ว
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเป็นคดีนี้ มีมูลเหตุมาจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืน มูลคดีจึงเกิดขึ้นที่ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ การที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้นั้นชอบแล้ว