คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ราเชนทร์ จัมปาสุต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 323 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2436/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจโดยมีอาวุธปืน: การกระทำที่ไม่ได้มุ่งหวังต่อทรัพย์ แต่เป็นการข่มขู่ให้หยุดรถ
จำเลยว่าจ้างให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จากตลาดไปส่งยังหมู่บ้าน มีนางสาวด. นั่งกลาง จำเลยนั่งซ้อนท้ายสุด รถแล่นมาได้ประมาณ 10 กิโลเมตร จำเลยบอกให้ผู้เสียหายเลี้ยวกลับไปส่งที่เดิมขณะกำลังเลี้ยวรถกลับ จำเลยกระโดดลงจากรถบอกให้หยุดรถ และมีเสียงชายที่ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมาและเป็นพวกจำเลยบอกให้ยิงผู้เสียหายเหลียวไปดูเห็นจำเลยจ้องปืนมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงรีบขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าตรงไป ทำให้นางสาวด. ที่นั่งอยู่ด้วยตกลงจากรถ ขณะนั้นผู้เสียหายได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดทางด้านหลัง แต่ไม่ถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายหันไปดูเห็นจำเลยและนางสาวด. ขึ้นรถจักรยานยนต์ซึ่งชายผู้นั้นขับไปทางเดิม ดังนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางสาวด. ร่วมกระทำการด้วยอย่างไรจำเลยยิงปืนไปทางใด และห่างจากผู้เสียหายเท่าใด จำเลยยิงปืนเพียง1 นัด เมื่อไม่ถูกแล้วก็ไม่ได้ติดตามยิงผู้เสียหายอีก ยังไม่พอฟังว่าจำเลยยิงปืนโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าตามฟ้อง แต่การที่จำเลยซึ่งโดยสารรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายมายังไม่ถึงจุดหมายบอกให้ผู้เสียหายเลี้ยวรถกลับไปส่งที่เดิม เมื่อผู้เสียหายเลี้ยวรถจำเลยกลับกระโดดลงจากรถแล้วบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ และเมื่อพวกจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ตามมาบอกให้ยิง จำเลยก็จ้องปืนมาทางผู้เสียหายครั้นผู้เสียหายไม่หยุดรถและขับรถหลบหนีไป จำเลยก็ยิงปืนขึ้นกรณีไม่ปรากฏเหตุผลอย่างไรที่จำเลยจะต้องให้ผู้เสียหายหยุดรถจนถึงขนาดต้องใช้อาวุธปืนในการบังคับขู่เข็ญเช่นนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายกระทำการโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายของผู้เสียหายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพโดยมีอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองแต่เมื่อผู้เสียหายไม่หยุดรถตามที่จำเลยข่มขืนใจ จำเลยจึงมีความผิดเพียงขั้นพยายาม ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสุดท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว แม้จะโต้แย้งยอดหนี้ แต่ยอมรับหนี้เดิม
แม้จำเลยจะโต้แย้งยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นภายหลังวันที่ 4 เมษายน2528 แต่จำเลยก็รับว่าในวันที่ 4 เมษายน 2528 จำเลยเป็นหนี้โจทก์208,061.38 บาท จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นโจทก์ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9(2)(3) โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ แต่ส่งให้ไม่ได้เพราะจำเลยย้ายที่อยู่ ได้ตรวจสอบทะเบียนบ้านตามที่จำเลยแจ้งตอนยื่นคำขอเปิดบัญชีเงินฝากก็ไม่ปรากฏชื่อจำเลยอยู่ในทะเบียนบ้าน จึงได้ลงประกาศหนังสือพิมพ์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้รวมสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าว แม้จำเลยอ้างว่าไม่ทราบการทวนก็ถือได้ว่าจำเลยไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่เพื่อประวิงการชำระหนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(4) ข.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์หนี้และการสันนิษฐานลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเพื่อการฟ้องล้มละลาย
แม้จำเลยจะโต้แย้งยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นภายหลังวันที่ 4 เมษายน 2528 แต่จำเลยก็ยอมรับว่าในวันที่ 4 เมษายน 2528 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 208,061.38 บาท จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (2)(3)
โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ แต่ส่งให้ไม่ได้เพราะจำเลยย้ายที่อยู่ ได้ตรวจสอบทะเบียนบ้านตามที่จำเลยแจ้งตอนยื่นคำขอเปิดบัญชีเงินฝากก็ไม่ปรากฏชื่อจำเลยอยู่ในทะเบียนบ้าน จึงได้ลงประกาศหนังสือพิมพ์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้รวมสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าว แม้จำเลยอ้างว่าไม่ทราบการทวงถามก็ถือได้ว่าจำเลยไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่เพื่อประวิงการชำระหนี้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (4) ข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายรถยนต์เสร็จเด็ดขาดและการยึดหน่วงเอกสาร การจดทะเบียนรถยนต์เป็นของผู้อื่นเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
การซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถและสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ย่อมตกเป็นของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมชำระราคารถยนต์ครบถ้วนแล้วจำเลยย่อมไม่มีสิทธิยึดหน่วงสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ แต่มีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยนำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวไปจดทะเบียนใส่ชื่อบริษัท ซ. จำกัด เป็นเจ้าของรถถือได้ว่าเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารใดของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นการผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุโจทก์ไม่ได้ยกเหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพียงกล่าวอ้างไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น
ฎีกาของโจทก์มิได้ยกเหตุผลขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบในข้อไหน อย่างไร คงกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วเท้าความถึงการพิจารณาในศาลชั้นต้นนับแต่โจทก์ยื่นคำฟ้องจนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้อง และว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ และให้รับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2130/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจ, การดำเนินคดีโดยทนายความ, และการเลื่อนคดี: ศาลมีอำนาจพิจารณาเจตนาประวิงคดีได้
หนังสือมอบอำนาจให้ ป.และ ท.ฟ้องคดีและกระทำการอย่างอื่นอีกหลายประการแทนโจทก์ เป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว ซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7(ข)โจทก์ซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ฉบับละ 30 บาท โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจคนเดียวหรือหลายคน หนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 30 บาท จึงครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสอง มิได้ห้ามผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นทนายความอยู่แล้วตั้งตนเองเป็นทนายความดำเนินคดีนั้นอีก ที่ ท.และ ป. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตั้ง ท.เป็นทนายความว่าคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยปากหนึ่งไปถึง 4 นัด ครั้งสุดท้ายจำเลยยื่นคำร้องระบุว่าหากไม่ได้ตัวพยานมาในนัดต่อไป จำเลยยอมให้ศาลตัดพยานได้ทันที ซึ่งทนายจำเลยก็แถลงรับไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันนั้นว่า หากนัดหน้าพยานไม่มาศาลไม่ว่าด้วยเหตุใด จำเลยไม่ติดใจสืบ ศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยเป็นครั้งสุดท้ายโดยเลื่อนการสืบพยานจำเลยไปถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าพยานติดคดีต้องเบิกความที่ศาลทั้งเช้าและบ่ายไม่อาจมาเบิกความที่ศาลในคดีนี้ได้ ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีโดยเห็นว่าจำเลยมีโอกาสนำตัวพยานมาสืบได้ จำเลยขอเลื่อนคดีมีลักษณะประวิงคดี จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2130/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจ-การเป็นทนายความ-การเลื่อนคดี: ความชอบด้วยกฎหมายและข้อยกเว้น
หนังสือมอบอำนาจให้ ป. และ ท. ฟ้องคดีและกระทำการอย่างอื่นอีกหลายประการแทนโจทก์ เป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว ซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7(ข) โจทก์ซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ฉบับละ 30 บาท โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจคนเดียวหรือหลายคน หนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 30 บาท จึงครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสองมิได้ห้ามผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นทนายความอยู่แล้วตั้งตนเองเป็นทนายความดำเนินคดีนั้นอีก ที่ ท. และ ป. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตั้ง ท. เป็นทนายความว่าคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยปากหนึ่งไปถึง 4 นัดครั้งสุดท้ายจำเลยยื่นคำร้องระบุว่าหากไม่ได้ตัวพยานมาในนัดต่อไปจำเลยยอมให้ศาลตัดพยานได้ทันที ซึ่งทนายจำเลยก็แถลงรับไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันนั้นว่า หากนัดหน้าพยานไม่มาศาลไม่ว่าด้วยเหตุใด จำเลยไม่ติดใจสืบ ศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยเป็นครั้งสุดท้าย โดยเลื่อนการสืบพยานจำเลยไปถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าพยานติดคดีต้องเบิกความที่ศาลทั้งเช้า และบ่ายไม่อาจมาเบิกความที่ศาลในคดีนี้ได้ ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีโดยเห็นว่าจำเลยมีโอกาสนำตัวพยานมาสืบได้ จำเลยขอเลื่อนคดีมีลักษณะประวิงคดี จึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานทุจริตต่อหน้าที่ กรณีไม่ชำระค่าระวางและทำให้จำเลยตรวจสอบน้ำหนักสิ่งของไม่ได้
คำสั่งของจำเลยกำหนดว่า พนักงานของจำเลยต้องชำระค่าระวางสิ่งของที่นำไปกับขบวนรถเสียก่อนแล้วไปขอเบิกคืนทีหลัง เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้นำสิ่งของขึ้นไปกับขบวนรถเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางในแต่ละเดือนเป็นน้ำหนักเท่าใดเพราะค่าระวางส่วนที่เกินนี้ไม่สามารถเบิกคืนได้การที่โจทก์นำสิ่งของน้ำหนัก 34 กิโลกรัม ขึ้นไปกับขบวนรถโดยมิเสียค่าระวาง ย่อมทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโจทก์ได้นำสิ่งของขึ้นไปกับขบวนรถเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางในแต่ละเดือนเท่าใด จำเลยจึงเสียหายต้องขาดรายได้จากค่าระวางในส่วนที่เกินกำหนดให้ได้รับยกเว้น ส่วนโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์ไม่ต้องเสียค่าระวางในส่วนที่เกินกำหนดดังกล่าว การกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากทุจริตต่อหน้าที่ โดยการไม่ชำระค่าระวางเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบน้ำหนัก
คำสั่งของจำเลยกำหนดว่า พนักงานของจำเลยต้องชำระค่าระวางสิ่งของที่นำไปกับขบวนรถเสียก่อนแล้วไปขอเบิกคืนทีหลัง เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้นำสิ่งของขึ้นไปกับขบวนรถเกินกว่าน้ำหนักเท่าใด เพราะค่าระวางส่วนที่เกินนี้ไม่สามารถเบิกคืนได้ การที่โจทก์นำสิ่งของน้ำหนัก 34 กิโลกรัม ขึ้นไปกับขบวนรถโดยมิได้เสียค่าระวาง ย่อมทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโจทก์ได้นำสิ่งของขึ้นไปกับขบวนรถเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางในแต่ละเดือนเท่าใด จำเลยจึงเสียหายต้องขาดรายได้จากค่าระวางในส่วนที่เกินกำหนดให้ได้รับยกเว้น ส่วนโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์ไม่ต้องเสียค่าระวางในส่วนที่เกินกำหนดดังกล่าวการกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ ด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าว่าคดีแทนลูกหนี้ในคดีแพ่งหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และสิทธิการยื่นคำขอรับชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงต่อศาลในคดีแพ่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย ขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลย ผู้ร้องแถลงคัดค้าน ขอให้ดำเนินคดีต่อไปศาลมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามคำคัดค้านของผู้ร้อง ย่อมมีผลเท่ากับศาลไม่อนุญาตตามคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบคำสั่งแล้วแม้ในวันนัดต่อ ๆ มา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้มาศาล แต่ศาลก็ได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบที่หน้าศาลทุกครั้ง กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีแทนจำเลยแล้วเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่วันที่คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 93.
of 33