พบผลลัพธ์ทั้งหมด 323 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2895/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันทายาท ผู้รับโอนสิทธิครอบครองย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินที่ตกลงแบ่งให้
มารดาโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้จำเลยตามบันทึกข้อตกลง ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลย จำเลยย่อมได้สิทธิในที่ดินส่วนนี้ดังที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวหรืออีกนัยหนึ่ง มารดาโจทก์ยอมเสียสิทธิในที่ดินส่วนที่ได้ตกลงทำบันทึกไว้แสดงว่าเป็นของจำเลยนั้น โจทก์ซึ่งรับโอนการครอบครองจากมารดาก็ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินส่วนดังกล่าวที่ตกเป็นของจำเลยนั้นแล้ว จึงไม่มีอำนาจห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมและการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้อง
การกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี มิใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ย่อมไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยที่ 2รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมด และจำเลยที่ 2มิได้อุทธรณ์โต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะกำหนดค่าขึ้นศาลชั้นต้นใหม่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดี การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องเสียเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ มิใช่การฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์โต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่กำหนดค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นใหม่โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 2รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมดมานั้นเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ มิใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้เอง ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขในส่วนนี้เสียให้ถูกต้อง เพราะการพิพากษาคดีโดยไม่ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถยนต์ที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ และอายุความฟ้องคดี
โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์จากจำเลยทั้งสอง แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองโอนรถยนต์ให้กับโจทก์นั้น บุคคลอื่นเป็นเจ้าของ มิใช่จำเลยทั้งสองต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถยนต์ไปเป็นของกลางเพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิม ถือว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ รถยนต์ที่โจทก์ซื้อจากจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ได้ ต้องเช่ารถผู้อื่นมาใช้แทนนับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่ถูกยึดไปและสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อน โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถยนต์ โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ไม่ใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 ต้องใช้อายุความธรรมดา10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากรถยนต์ที่มีเจ้าของเดิม การคิดดอกเบี้ยค่าเสียหาย และอายุความ
โจทก์ตกลงซื้อรถพิพาทจากจำเลยทั้งสอง เมื่อปรากฏว่าขณะที่จำเลยทั้งสองโอนรถพิพาทให้กับโจทก์นั้น บริษัทสยามกลการ จำกัด เป็นเจ้าของรถพิพาท มิใช่จำเลยทั้งสอง ต่อมารถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปเป็นของกลางเพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิม ถือว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิแล้ว
รถพิพาทถูกยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถพิพาทได้ นับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่รถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไป และสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อนแต่อย่างใด
โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถพิพาท โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม กรณีหาใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 481 ไม่ ต้องใช้อายุความธรรมดา 10 ปี ตามมาตรา 164
รถพิพาทถูกยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถพิพาทได้ นับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่รถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไป และสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อนแต่อย่างใด
โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถพิพาท โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม กรณีหาใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 481 ไม่ ต้องใช้อายุความธรรมดา 10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: โจทก์ฎีกาไม่ตรงประเด็นข้อพิพาทที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และอ้างคำสั่งศาลเดิมที่ไม่เกี่ยวข้อง
ประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ร.บิดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ และ ร.ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั้น ไม่มีพยานสนับสนุน เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ คงได้ความจากพยานจำเลยว่าระหว่างที่ ร.ป่วย ร.บอกให้จำเลยสร้างห้องน้ำ ปลูกต้นไม้สร้างเล้าเป็ดเล้าไก่ในที่ดินพิพาท โดยโจทก์ไม่ทักท้วง แสดงว่าโจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ร.การที่โจทก์ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเป็นการอาศัยสิทธิของ ร.เท่านั้น โจทก์ยึดถือครอบครองต่อมาถือว่าครอบครองแทนทายาท โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ก็ต้องฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ว่าเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานสนับสนุน และที่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร แต่โจทก์กลับฎีกาว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอลงชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทและขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ร.ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องและตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ร. คดีถึงที่สุดผูกพันทายาทของ ร.และจำเลย โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งหมด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร ส่วนที่ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษานอกฟ้องนอกสำนวน ก็ไม่กล่าวว่านอกฟ้องนอกสำนวนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในสถานการณ์ป้องกันทรัพย์สิน: การยิงเพื่อทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ฆ่า
โจทก์ร่วมทั้งสองเดินผ่านสวนของจำเลยออกไปทางช่องว่างข้างประตูหน้าบ้านของจำเลยในเวลาดึกมากแล้ว โดยไม่ได้ร้องบอกให้จำเลยทราบว่า โจทก์ร่วมที่ 1 กับพวกขออาศัยเดินผ่าน ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิดว่าโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์แล้วกำลังพาเอาทรัพย์ของจำเลยไป การที่จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสองในขณะที่โจทก์ร่วมทั้งสองเดินห่างจากประตูรั้วหน้าบ้านของจำเลยไปแล้วประมาณ 35 เมตร จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสองในระยะไกลประมาณ 35 เมตรกระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ขาด้านหลังทั้งสองข้าง แสดงว่าจำเลยเล็งยิงระดับต่ำเพื่อให้ถูกขาคนร้ายให้ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น มิได้มีเจตนาฆ่า แม้กระสุนปืนจะกระจายไปถูกที่สะโพกและรักแร้ของโจทก์ร่วมที่ 1 และท้องแขนขวาของโจทก์ร่วมที่ 2 ด้วยก็ไม่ปรากฏว่าฝังลึกเข้าไปถึงอวัยวะสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้ จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 62,69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในลักษณะป้องกันทรัพย์สิน ยิงคนร้ายเกินสมควรแก่เหตุ ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
โจทก์ร่วมทั้งสองเดินผ่านสวนของจำเลยไปทางหน้าบ้านจำเลยในเวลากลางคืนโดยไม่ได้ร้องบอกว่าเป็นโจทก์ร่วมที่ 1 กับพวกขออาศัยเดินผ่าน เป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิดว่าโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์ จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสองในขณะที่เดินห่างจากประตูรั้วหน้าบ้านจำเลยไปแล้ว จึงเป็นการป้องกันทรัพย์สินของจำเลยโดยสำคัญผิด ซึ่งเกินสมควรแก่เหตุ และที่จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสองในระยะไกลประมาณ 35 เมตร กระสุนปืนถูกที่ขาด้านหลังทั้งสองข้างของโจทก์ร่วมที่ 1 แสดงว่าจำเลยเล็งยิงระดับต่ำ เพื่อให้ถูกเพียงขาของคนร้ายได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น มิได้เจตนาที่จะฆ่าให้ตาย จำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกาย ตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 62,69.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบเงินเพื่อฝากความหวังในการบรรจุงานราชการ ไม่ถือเป็นความร่วมมือในการให้สินบน
จำเลยกับพวกเรียกเงินจากผู้เสียหายโดยบอกว่าจะนำไปมอบให้พลตำรวจโทส. เป็นค่าตอบแทนในการที่จะให้บุตรชายของผู้เสียหายบรรจุเข้าเป็นนายตำรวจโดยไม่ต้องสอบ จะบรรจุเป็นการภายในเงินค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนอะไรผู้เสียหายไม่ทราบเป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยจะนำไปจัดการ ต่อมาบุตรชายผู้เสียหายไม่ได้เข้ารับราชการกรมตำรวจ ดังนี้ การที่ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยกับพวกเรียกจากผู้เสียหายในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องยังไม่แน่ชัดว่าผู้เสียหายให้เงินไปเพื่อให้จำเลยกับพวกนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆ โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของจำเลยกับพวกให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุตรชายผู้เสียหาย จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้ร่วมกับจำเลยและพวกนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ผู้เสียหายย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการรับเงินเพื่อวิ่งเต้นให้บุตรชายบรรจุตำรวจ ศาลฎีกายืนว่าผู้เสียหายเป็นผู้ถูกกระทำ
จำเลยกับพวกได้เรียกเงินจาก ก. จำนวน 200,000 บาท โดยบอกว่าจะนำไปให้พลตำรวจโท ส. เป็นค่าตอบแทนในการที่จะให้บุตรชายของ ก. บรรจุเข้าเป็นนายตำรวจโดยไม่ต้องสอบจะบรรจุเป็นการภายในเงินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนอะไร ก. ไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยจะนำไปจัดการ ต่อมาบุตรชายของ ก. ไม่ได้เข้ารับราชการกรมตำรวจดังนี้ การ ก. มอบเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยกับพวกเรียกในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องยังไม่แน่ชัดว่า ก. ให้เงินไปเพื่อให้จำเลยกับพวกนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของจำเลยกับพวกให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุตรชายของ ก.ถือไม่ได้ว่า ก. ได้ร่วมกับจำเลยและพวกนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ก.ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้