พบผลลัพธ์ทั้งหมด 633 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีมรดกและการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกที่เกินกำหนดเวลา
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องเรียกทรัพย์มรดกที่ทายาทของเจ้ามรดกยึดถือไว้เพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่ เป็นการฟ้องคดีมรดก เมื่อฟ้องพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่เจ้ามรดกตายคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสี่ โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเข้าครอบครองทำกินในที่ดินโดยยังไม่ได้แบ่งกัน ถือได้ว่าครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นผู้มีสิทธิรับมรดก โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทของเจ้ามรดกจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเช่นนั้น ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดกและการยกเว้นตามฐานะตัวแทนทายาท
โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ ง.เรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของ ง.ยึดถือไว้เพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่เป็นการฟ้องคดีมรดกง.ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กันยายน 2530พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่ ง.เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1754 วรรค 4
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีมรดกและการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหลังพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ ง. เรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของ ง. ยึดถือได้ว่าเพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่เป็นการฟ้องคดีมรดก ง. ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กันยายน 2530 พ้นกำหนด 10 ปีนับแต่ ง. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 4 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่การอำพรางการกู้ยืม และจำเลยไม่ต้องรับผิดเมื่อรถเสียหายจากเหตุภายนอก
เดิมจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ได้ยินยอมตกลงตามความประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวด ย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด เมื่อรถพิพาทอันเป็นทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหายไปทั้งคันสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 567 ประกอบด้วย มาตรา 572 และแม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่าผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สินรวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงเฉพาะการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถพิพาทไปแล้วไฟลุกไหม้โดยไม่ปรากฏว่าเป็นความผิดของฝ่ายจำเลย จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อระงับจากเหตุสุดวิสัย แม้มีข้อตกลงรับผิดชอบความเสียหายจากอัคคีภัย
เดิมจำเลยมีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยก็ได้ยินยอมตกลงตามความประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย ทั้งจำเลยก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวดย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ขณะที่จำเลยขับรถพิพาทไป ได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคัน สัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้นแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นความผิดของจำเลยอย่างไรหรือไม่ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์
ขณะที่จำเลยขับรถพิพาทไป ได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคัน สัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้นแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นความผิดของจำเลยอย่างไรหรือไม่ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่การอำพรางการกู้ยืม และผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดหากความเสียหายเกิดจากสภาพรถ
เดิมจำเลยมีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยก็ได้ยินยอมตกลงตามประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลย ทั้งจำเลยก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวดย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ขณะที่จำเลยขับรถพิพาทไป ได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคัน สัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วยแต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้นแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นความผิดของจำเลยอย่างไรหรือไม่ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ดี ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ เสี่ยง ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2262/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ: ไม่ต้องปรับบทตามมาตราทั่วไป
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทความผิดตามป.อ.มาตรา 264 ซึ่งเป็นบททั่วไปในคำพิพากษาอีก
จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม การปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 268 ในคำพิพากษาต้องระบุบทมาตราประกอบด้วย
จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม การปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 268 ในคำพิพากษาต้องระบุบทมาตราประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2262/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ การปรับบทมาตรา 264 ไม่จำเป็นเมื่อมีความผิดตามมาตรา 265
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ซึ่งเป็นบททั่วไปในคำพิพากษาอีก จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม การปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ในคำพิพากษาต้องระบุบทมาตราประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2113/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระดอกเบี้ยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหนังสือ สามารถนำสืบพยานบุคคลได้
การชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จึงนำสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระดอกเบี้ยแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2113/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ อนุญาตให้ใช้พยานบุคคลยืนยันได้
การชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคสอง จึงนำสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระดอกเบี้ยแล้วได้