คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพงษ์ สนธิเณร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 633 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แบ่งมรดกที่ดิน, โรงแรม, เงินฝาก, รายได้โรงแรม ระหว่างทายาทและอดีรภัสยา โดยคำนึงถึงสัดส่วนการเป็นเจ้าของและรายได้
ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาร่วมกันทำกิจการโรงแรมมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน เงินที่ใช้เป็นทุนปลูกสร้างโรงแรมจะเกิดจากฝ่ายใดหามาไม่สำคัญ ต้องถือว่าโรงแรมเป็นทรัพย์สินร่วมกันระหว่างผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 เมื่อผู้ตายยินยอมให้ใช้ที่ดินดังกล่าวปลูกสร้างโรงแรมเพื่อทำกิจการค้าร่วมกันกับโจทก์ที่ 1โรงแรมจึงไม่เป็นส่วนควบกับที่ดินเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 จำเลยที่ 5 จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย แม้จำเลยที่ 5 จะเลิกร้างกับผู้ตายไปนานแล้ว แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน ทรัพย์ที่ผู้ตายได้มาระหว่างที่เป็นสามีภรรยากับจำเลยที่ 5 ย่อมเป็นสินสมรส เงินรายได้จากกิจการโรงแรมรวมทั้งร้านตัดผมที่ได้มาหลังจากที่ผู้ตายถึงแก่กรรมแล้ว มิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตายเพราะมิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่ผู้ตายถึงแก่กรรม แต่เป็นดอกผลของโรงแรมตกได้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมตามสัดส่วนแห่งความเป็นเจ้าของโรงแรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 111และมาตรา 1360 และเมื่อเงินดังกล่าวมิใช่มรดกของผู้ตาย แม้ทายาทคนหนึ่งปิดบังหรือยักย้ายเงินส่วนนี้ ทายาทคนนั้นก็ไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357-358/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องชั่งผิดอัตราเพื่อฉ้อโกงทางธุรกิจ ศาลตัดสินลงโทษตามบทอาญาที่หนักที่สุด
จำเลยทั้งสามตกลงทำการชั่งเศษทองแดงที่จำเลยทั้งสามตกลงซื้อจากโจทก์ร่วมรวม 13 ครั้ง ต่างวันเวลากันด้วยเครื่องชั่งที่ผิดอัตราซึ่งถูกแก้ไขโดยเจตนาลดเครื่องชั่งทำให้ได้เศษทองแดงเกินไป เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270และพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31หลายกรรมต่างกัน รวม 13 ครั้ง แต่การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามแต่ละครั้งนั้น จำเลยทั้งสามมีและใช้เครื่องชั่งในวันเวลาเดียวกัน เท่ากับจำเลยทั้งสามมีเจตนาเดียวกันเป็นกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 270 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357-358/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องชั่งผิดอัตราเพื่อฉ้อโกงและบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192
จำเลยทั้งสามตกลงทำการชั่งเศษทองแดงที่จำเลยทั้งสามตกลงซื้อจากโจทก์ร่วมรวม 13 ครั้ง ต่างวันเวลากันด้วยเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา และถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยเจตนาลดเครื่องชั่งทำให้ได้เศษทองแดงเกินไป เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270และพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 หลายกรรมต่างกัน รวม 13 ครั้ง แต่การกระทำความผิดของจำเลยแต่ละครั้งนั้นจำเลยทั้งสามมีและใช้เครื่องชั่งในวันเวลาเดียวกันเท่ากับจำเลยทั้งสามมีเจตนาเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเศษทองแดงหรือใช้ราคาแก่โจทก์ร่วม โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 6 เดือนและ 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 3 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินกระทงละ 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกคู่ความฎีกาได้แต่ข้อกฎหมาย ที่จำเลยฎีกาว่าจากพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยทั้งสามกระทำความผิดเพียงสองกระทงนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการลงโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจำหน่ายคดีล้มละลาย: ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจจำหน่ายคดีหลังจากรับฎีกาแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดจำเลยทั้งสามยื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า จำเลยที่ 2 ถูกศาลแพ่งธนบุรีสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 15 ดังนี้ ย่อมเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจำหน่ายคดีล้มละลาย: ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจเมื่อรับฎีกาแล้ว แม้มีการพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อน
จำเลยทั้งสามยื่นฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานต่อศาลว่า จำเลยที่ 2 ถูกศาลอื่นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 แล้ว อำนาจสั่งจำหน่ายคดีเป็นอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องโดยมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์สิน อ้างความเข้าใจผิด ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการทุจริต
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงตามคำสั่งศาลและจำเลยเป็นทายาทโดยธรรมด้วยคนหนึ่ง ทายาทเจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างกันแต่ตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตน จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ประกอบด้วยมาตรา 354

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนทรัพย์สินเป็นของตนเองโดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทายาท
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล มีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน (ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาลกระทำหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น)ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพราะได้มอบ-หมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดก เอกสารหลักฐานทรัพย์มรดกทั้งหมดโจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งจำเลยก็รู้เห็น แต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองที่ดินพิพาทสูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยอ้างว่าควรจะเป็นของจำเลยจำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 353ประกอบด้วย มาตรา 354

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนทรัพย์สินให้ตนเองโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์และผิดหน้าที่
การเจรจาแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลย รู้ ว่าทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นที่ดินจำเลยต้องแบ่งให้แก่ทายาททุกคน เท่า ๆ กันแต่จำเลยจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน โดยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการ ทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่ด้วยการจดทะเบียน โอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการมรดกทุจริต จดทะเบียนโอนทรัพย์สินเป็นของตนเอง เสียหายแก่ทายาท
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล มีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน (ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาลกระทำหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น) ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพราะได้มอบหมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดก เอกสารหลักฐานทรัพย์มรดกทั้งหมด โจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งจำเลยก็รู้เห็นแต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองที่ดินพิพาทสูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยอ้างว่าควรจะเป็นของจำเลย จำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนจึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วย มาตรา 354

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6535/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเลิกแล้ว ทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่า ไม่ถือเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท ที่ผู้ร้องยอมให้รถยนต์พิพาทอยู่ในครอบครองใช้สอยของจำเลยเกิดจากสัญญาเช่าซื้อ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจนมีผลให้สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่ผู้ร้องโดยพลัน ถ้าไม่ส่งมอบถือว่าครอบครองไว้โดยมิชอบตามสัญญาเช่าซื้อ การที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายและก่อนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยึดรถยนต์พิพาท อีกทั้งผู้ร้องก็ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยชำระหนี้ มิฉะนั้น ผู้ร้องจะดำเนินคดีกับจำเลย แสดงว่า ผู้ร้องมิได้ยินยอมให้จำเลยครอบครองรถยนต์พิพาทนับแต่วันที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ทั้งผู้ร้องก็เตรียมจะฟ้องจำเลยแล้วจะถือว่ารถยนต์พิพาทอยู่ในครอบครองของจำเลยด้วยความยินยอม อนุญาตของผู้ร้องหาได้ไม่ จึงยังถือไม่ได้ว่ารถยนต์พิพาท เป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 109(3)
of 64