คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพงษ์ สนธิเณร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 633 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9105/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส และอำนาจในการทวงหนี้: ศาลฎีกาพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการที่โจทก์ให้กู้ยืมเงินต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเสียก่อน การที่สามีโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมนิติกรรมดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ โดยมิได้ให้การต่อสู้ว่าเงินที่โจทก์ให้กู้ยืมไปเป็นสินสมรสที่โจทก์กับสามีจะต้องจัดการร่วมกันตามกฎหมายจึงไม่มีประเด็นโต้เถียงว่าเงินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือไม่โจทก์ยอมให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อน จำเลยทั้งสองให้การไว้เพียงลอย ๆ ว่า ช. ทนายโจทก์ไม่มีอำนาจทวงถามจำเลยทั้งสอง แต่ไม่ได้อ้างเหตุว่าเพราะเหตุใด จึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีประเด็นที่ต้อง วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7272/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแทนบุคคลไร้ความสามารถ: การระบุสถานะผู้แทนโดยชอบธรรมในคำฟ้อง
ข้อความในคำฟ้องที่โจทก์พิมพ์ในช่องสำหรับระบุชื่อโจทก์ระบุว่า โจทก์โดย อ.บิดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องและเข้าใจได้ว่า อ.เป็นบิดาของโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนและขณะฟ้องนั้นโจทก์เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ส่วน อ. จะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้จริงหรือไม่ซึ่งโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องที่หากจำเลยมีข้อโต้แย้งก็ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทำการสอบสวนถึงอำนาจของ อ.ซึ่งเป็นข้อที่สามารถจะนำมาแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ไม่ใช่เหตุที่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยมาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7194/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดเดียว: การเสพเมทแอมเฟตามีนและการขับรถภายใต้ฤทธิ์ยา
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย (ก) จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย (ข) จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ (ก) เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเสพเมทแอม-เฟตามีนต่างเวลาและต่างจำนวนกัน แต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามฟ้อง ข้อ (ก) กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง ข้อ (ข) เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกัน แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิดดังนั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7194/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การเสพยาแล้วขับรถบรรทุก ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นกรรมเดียว
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าเมื่อวันที่16พฤศจิกายน2537เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย(ก)จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย(ข)จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฎิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ(ก)เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนต่างเวลาและต่างจำนวนกันแต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามฟ้องข้อ(ก)กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้องข้อ(ข)เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกันแม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเองแต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิดดังนั้นการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7103/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันหนี้ตามเช็ค: รายงานประจำวันเป็นหลักฐานแสดงเจตนาค้ำประกัน
ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีระบุถึงการที่โจทก์ประสงค์จะขอถอนคำร้องทุกข์คดีอาญา เนื่องจากไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป เพราะตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาท 3 ฉบับ สั่งจ่ายเงินรวม 410,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และมีจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าหากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ จำเลยที่ 2 ยินยอมรับชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้แก่โจทก์นั้น ย่อมแสดงให้เข้าใจได้ชัดเจนว่าถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ 2 จะยอมชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์นั่นเอง ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ลงลายมือชื่อท้ายเอกสารดังกล่าวในช่องที่ระบุว่าผู้ค้ำประกัน รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 2 ยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7103/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รายงานประจำวันคดีเป็นหลักฐานสัญญาค้ำประกันได้ หากมีเจตนาชัดเจนและลงลายมือชื่อ
ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีระบุถึงการที่โจทก์ประสงค์จะขอถอนคำร้องทุกข์คดีอาญาเนื่องจากไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่1อีกต่อไปเพราะตกลงกันได้โดยจำเลยที่1ได้ออกเช็คพิพาท3ฉบับสั่งจ่ายเงินรวม410,000บาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และมีจำเลยที่2ยืนยันว่าหากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับจำเลยที่2ยินยอมรับชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้แก่โจทก์นั้นย่อมแสดงให้เข้าใจได้ชัดเจนว่าถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจำเลยที่2จะยอมชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์นั่นเองทั้งจำเลยที่2ก็ลงลายมือชื่อท้ายเอกสารดังกล่าวในช่องที่ระบุว่าผู้ค้ำประกันรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่จำเลยที่2ยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระเงินตามเช็คที่จำเลยที่1ออกให้แก่โจทก์จำเลยที่2จึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7031/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์โรงเรือนแยกจากที่ดิน ผู้ซื้อมีสิทธิเฉพาะโรงเรือน ไม่มีสิทธิในที่ดิน โจทก์มีสิทธิขับไล่
โรงเรือนพิพาทเดิมเป็นของ ท.โดย ท.เช่าที่ดินของ บ.เพื่อปลูกโรงเรือนพิพาทดังกล่าว ต่อมาปี 2530 บ.ยกที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้ ล.ต่อมา ล.ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นหลายแปลง ทำให้โรงเรือนพิพาทอยู่บนที่ดินสองแปลง คือโฉนดเลขที่ 6204 และ 62023 ครั้นปี 2533 จำเลยซื้อโรงเรือนพิพาทมาจาก ท. หลังจากนั้นปี 2537 ล.ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 62023 แก่โจทก์กรณีจึงเป็นเรื่องจำเลยซื้อเฉพาะโรงเรือนพิพาทจาก ท. แม้การซื้อขายจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์เฉพาะโรงเรือนพิพาทเท่านั้น หามีสิทธิในที่ดินซึ่งปลูกโรงเรือนไม่ และเป็นเรื่องที่จำเลยมีโรงเรือนส่วนหนึ่งในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ และแม้จำเลยจะเช่าที่ดินของ ล.ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องการปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของบุคคลอื่นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1312 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ และโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7031/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในโรงเรือนเมื่อซื้อเฉพาะโรงเรือน ไม่ได้ซื้อที่ดิน โจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยได้
โรงเรือนพิพาทเดิมเป็นของ ท. โดย ท. เช่าที่ดินของ บ. เพื่อปลูกโรงเรือนพิพาทดังกล่าว ต่อมาปี 2530 บ.ยกที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้ ล. ต่อมา ล. ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นหลายแปลง ทำให้โรงเรือนพิพาทอยู่บนที่ดินสองแปลงคือโฉนดเลขที่ 6204 และ 62023 ครั้นปี 2533 จำเลยซื้อโรงเรือนพิพาทมาจาก ท. หลังจากนั้นปี 2537 ล. ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 62023 แก่โจทก์กรณีจึงเป็นเรื่องจำเลยซื้อเฉพาะโรงเรือนพิพาทจาก ท. แม้การซื้อขายจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์เฉพาะโรงเรือนพิพาทเท่านั้น หามีสิทธิในที่ดินซึ่งปลูกโรงเรือนไม่ และเป็นเรื่องที่จำเลยมีโรงเรือนส่วนหนึ่งในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิและแม้จำเลยจะเช่าที่ดินของ ล. ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องการปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของบุคคลอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ และโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6747/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์ก่อนล้มละลายและการขอรับชำระหนี้ของผู้รับโอนที่ไม่สุจริต
เมื่อการโอนทรัพย์พิพาทถูกเพิกถอนแล้วผู้คัดค้านจะเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายการที่ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้มิใช่เป็นการตัดสิทธิของผู้คัดค้านแต่อย่างใดนอกจากนี้บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเพราะการโอนถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติ ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา114เป็นบุคคลผู้ไม่สุจริตขอรับชำระหนี้ไม่ได้เพราะเป็นกรณีนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6747/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์และการขอรับชำระหนี้: สิทธิเจ้าหนี้และบุคคลไม่สุจริต
เมื่อการโอนทรัพย์พิพาทถูกเพิกถอนแล้ว ผู้คัดค้านจะเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมาย การที่ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้มิใช่เป็นการตัดสิทธิของผู้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเพราะการโอนถูกเพิกถอนตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 เป็นบุคคลผู้ไม่สุจริต ขอรับชำระหนี้ไม่ได้ เพราะเป็นกรณีนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ ที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้จึงชอบแล้ว
of 64