คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพงษ์ สนธิเณร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 633 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าว่าคดีแทนจำเลยโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีแพ่งหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และสิทธิในการยื่นคำขอรับชำระหนี้
ขณะคดีแพ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอำนาจการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 25แต่ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่เห็นสมควรก็ได้ เมื่อปรากฏว่าศาลได้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย และขอให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป อันมีผลเท่ากับศาลไม่อนุญาตให้จำหน่ายคดีตามคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว แม้ในวันนัดต่อ ๆ มาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้มาศาลก็ตาม แต่ศาลได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบที่หน้าศาลทุกครั้ง กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีแทนจำเลยแล้วเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดีผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุด ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 93.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิ่งราวทรัพย์ร่วมกัน: การกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยมีเจตนาข่มขู่เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน
วันเกิดเหตุ ผ.พาผู้เสียหายซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชมวัดโดยเรือรับจ้างของจำเลย ขากลับเมื่อจำเลยขับเรือมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยหยุดเรือแล้วพูดภาษาไทยกับ ผ.ว่าต้องการค่าโดยสาร เมื่อผู้เสียหายทราบจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ยังไม่ทันส่งเงินให้ ผ.ได้หยิบเอาเงิน 2,000 บาท จากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปส่งให้จำเลย บอกผู้เสียหายว่าเป็นค่าโดยสาร จำเลยแสดงท่าทางไม่พอใจต้องการเงินค่าโดยสารมากกว่านั้นอีก ผ.จึงหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายให้จำเลยอีก 500 บาท ผ.ยังแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าไม่เพียงพอ ต้องการอีก 50 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศและเป็นผู้โดยสารคนเดียว อยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับ ผ.และจำเลยแสดงท่าทางขึงขัง ผู้เสียหายกลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน เมื่อจำเลยขับเรือเข้าไปถึงฝั่งผู้เสียหายเห็นว่าปลอดภัยจึงได้พยายามเรียกร้องเอาเงินคืน ผ.เอาเงินจากจำเลยคืนผู้เสียหาย1,000 บาท จากนั้น ผ.และจำเลยก็แยกย้ายกันไป พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ผ.กับจำเลยรู้เห็นว่าจะกระทำการดังกล่าวด้วยกัน เป็นการร่วมกันกระทำความผิดเป็นตัวการด้วยกัน ส่วนการที่ ผ.และจำเลยคืนเงินบางส่วนให้ผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิด เพราะผู้เสียหายโวยวายขอเงิน การคืนเงินบางส่วนให้อาจเป็นการผ่อนคลายไม่ให้ผู้เสียหายติดใจดำเนินคดี จะนำมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำผิดหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิ่งราวทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิด: การกระทำความผิดร่วมกันในสถานที่เปลี่ยวและการคืนเงินบางส่วนไม่ถือเป็นเจตนาดี
วันเกิดเหตุ ผ. พาผู้เสียหายซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชมวัดโดยเรือรับจ้างของจำเลย ขากลับเมื่อจำเลยขับเรือมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยหยุดเรือแล้วพูดภาษาไทยกับ ผ. ว่าต้องการค่าโดยสาร เมื่อผู้เสียหายทราบจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ยังไม่ทันส่งเงินให้ ผ. ได้หยิบเอาเงิน2,000 บาท จากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปส่งให้จำเลยบอกผู้เสียหายว่าเป็นค่าโดยสาร จำเลยแสดงท่าทางไม่พอใจต้องการเงินค่าโดยสารมากกว่านั้นอีก ผ. จึงหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายให้จำเลยอีก 500 บาท ผ. ยังแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าไม่เพียงพอ ต้องการอีก 50 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศและเป็นผู้โดยสารคนเดียวอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับ ผ. และจำเลยแสดงท่าทางขึงขังผู้เสียหายกลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน เมื่อจำเลยขับเรือเข้าไปถึงฝั่ง ผู้เสียหายเห็นว่าปลอดภัยจึงได้พยายามเรียกร้องเอาเงินคืนผ.เอาเงินจากจำเลยคืนผู้เสียหาย1,000บาทจากนั้นผ.และจำเลยก็แยกย้ายกันไป พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ผ. กับจำเลยรู้เห็นว่าจะกระทำการดังกล่าวด้วยกัน เป็นการร่วมกันกระทำความผิดเป็นตัวการด้วยกัน ส่วนการที่ ผ. และจำเลยคืนเงินบางส่วนให้ผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิด เพราะผู้เสียหายโวยวายขอเงิน การคืนเงินบางส่วนให้อาจเป็นการผ่อนคลายไม่ให้ผู้เสียหายติดใจดำเนินคดี จะนำมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำผิดหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทมาตราโดยศาลอุทธรณ์ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้จำเลยไม่อาจฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสาม โทษจำคุกคงเป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่ปรับ บทกฎหมายที่ลงโทษจำเลยโดยระบุวรรคให้ถูกต้องอันเป็นการแก้ไข เล็กน้อย และคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยยังมิได้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิได้มีการกระทำโดยทุจริตนั้น การที่ จะวินิจฉัยว่าจำเลยแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ และจำเลยกระทำโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้อง พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ความผิดกรรมเดียวและความรับผิดชอบของผู้ร่วมกระทำ
การที่ผู้เสียหายและผู้ตายอยู่ใกล้กันและจำเลยกับพวกใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้เสียหายจนล้มลง ระหว่างนั้นพวกจำเลยอีกคนหนึ่งใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยจำเลยยืนถือไม้ พวกของจำเลยยืนถือมีดอยู่ข้าง ๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียวกันสืบเนื่องจากการโต้เถียงถึงกับจำเลยจะชกต่อยกับผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกเข้าไปห้าม พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันมาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกในคราวเดียวกัน พวกจำเลยใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ 1 คืบ เป็นอาวุธแทงผู้ตายถูกที่เหนือราวนมข้างขวาทะลุเข้าปอด เลือดตกในอกขวามาก เป็นการเลือกแทงบริเวณอวัยวะสำคัญ และแทงอย่างแรง ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในชั่วระยะเวลาไม่นาน เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า การร่วมกันไปใช้ไม้และมีดปลายแหลมเป็นอาวุธตีและแทงผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกที่ไม่ชอบกัน เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาต้องการทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกทุกคนไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันแม้จะมีการกระทำหลายหน ต่อบุคคลหลายคนด้วยกันก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจำนองเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำที่เอื้อประโยชน์เจ้าหนี้รายหนึ่งก่อนล้มละลาย
การที่จำเลยขอกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านตกลงยินยอมให้กู้ เมื่อผู้คัดค้านมอบเงินที่กู้ให้จำเลยรับไป การกู้ยืมก็เกิดขึ้น ผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในทันทีนั้นเอง หลังจากนั้นการที่จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยอยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 การจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านมีผลบังคับนับแต่วันที่มีการทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนกันคือวันที่ 31 มกราคม 2527 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย วันที่13 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยมอบอำนาจให้ ช. ไปทำการจำนองดังกล่าวจึงเป็นการที่จำเลยกระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และเมื่อจำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้ถึง 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยได้เพียง 711,227.45 บาทจำเลยมีหนี้สินรวมกันมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่หลายเท่าตัว จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ก่อนที่จำเลยจะถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเพียง 13 วัน ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบว่ากิจการของจำเลยกำลังรุ่งเรืองแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแสดงว่า จำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามมาตรา 115

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจำนองเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้อื่นในคดีล้มละลาย พิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์
จำนองเป็นสัญญาที่เอาทรัพย์สินตราไว้เป็นประกันการชำระหนี้มีหนี้ประธาน คือหนี้เงินกู้ยืมที่ลูกหนี้รับไปในวันกู้ยืม ส่วนจำนองเป็นแต่เพียงอุปกรณ์แห่งหนี้เงินกู้ยืมซึ่งเป็นหนี้คนละส่วนที่แยกออกจากกันได้ เมื่อเจ้าหนี้ตกลงให้กู้และมอบเงินกู้ให้ลูกหนี้รับไป การกู้ยืมก็เกิดขึ้น เจ้าหนี้จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ หลังจากนั้นลูกหนี้ได้มอบอำนาจให้ ช. ไปทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนอง สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 714 การจำนองที่ดินพิพาทจึงมีผลบังคับนับแต่วันที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองกัน คือวันที่ 31 มกราคม 2527เมื่อเจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ขอให้ล้มละลาย ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527การที่ลูกหนี้มอบอำนาจให้ ช. จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่เจ้าหนี้ จึงเป็นการกระทำใด ๆ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และการที่ลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ 711,227.45 บาท ลูกหนี้จึงมีหนี้สินรวมกันมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีอยู่หลายเท่าตัว ลูกหนี้ได้จำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่เจ้าหนี้เป็นจำนวน500,000 บาท ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเพียง 13 วันโดยไม่ปรากฏว่ากิจการของลูกหนี้กำลังรุ่งเรือง พฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่าลูกหนี้กระทำโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ดังนี้ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนการจำนองได้ตามพ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 115.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า หลังการทะเลาะวิวาท การกระทำเพื่อป้องกันต้องมีเหตุอันตรายใกล้จะถึง
หลังจากจำเลยกับผู้เสียหายเลิกทะเลาะและกอดปล้ำต่อสู้กันแล้ว มีผู้พาจำเลยไปส่งบ้าน ส่วนผู้เสียหายเข้าไปนั่งอยู่ในเต็นท์ จากนั้นประมาณ 10-30 นาที จำเลยกลับเข้ามาในเต็นท์โดยลอบเข้ามาทางด้านหลังผู้เสียหายและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายเช่นนี้มิใช่กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อประกันหนี้ ไม่ใช่ชำระหนี้ ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการจำหน่ายหางพ่วงรถเทรลเลอร์ และค่าดอกเบี้ย หากจำเลยจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวได้จะนำเงินมาแลกเช็คพิพาทนั้นคืน ดังนี้จำเลยมิได้ประสงค์จะออกเช็คพิพาทให้เป็นการชำระหนี้ แต่เป็นการออกเพื่อให้ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีล้มละลาย: ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสาร หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในการสืบพยานจำเลยชั้นแรก พ.ผู้จัดการมรดกของร. อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ล.4 ราคาประเมินตารางวาละ 2,500 บาท ตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมายล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำของพ.และข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมายล.1เมื่อพ.พยานจำเลยเบิกความรับรองหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างอิงหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานประกอบคำของ พ. โดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้
จำเลยอ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ต่อศาลโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าว แต่ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลในทางตัดสิทธิ และเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นจะต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลก็ตาม ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
of 64