คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวรรค์ ศักดารักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 643 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8005/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องแยกต่างหาก: สิทธิเรียกร้องจากหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน แม้ตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ฟ้องบังคับเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน และตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน มิได้ฟ้องบังคับเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่เพียงประการเดียว ดังนั้นแม้สิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินจะขาดอายุความฟ้องร้อง แต่จำเลยยังต้องรับผิดตามสิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่หนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงิน และสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม หรือ 193/30 ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7971/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาผิดนัดชำระหนี้: เริ่มนับจากวันฟ้องคดี หากยังไม่ได้ทวงถามก่อนหน้านี้
จำเลยรับปากว่าจะคืนเงินค่าหุ้นให้โจทก์ แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่คืนเงินให้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ในข้อหายักยอกเงินค่าหุ้นต่อศาลแขวง และศาลยกฟ้องถือไม่ได้ว่าเป็นการทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ อันจะนำมาคำนวณคิดดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดได้ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ เรียกให้จำเลยชำระเงินคืน ย่อมถือว่าโจทก์ได้ทวงถาม ให้ชำระหนี้แล้วจำเลยไม่ชำระ ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7953/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิปรับรายวันตามสัญญาซื้อขาย: เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาและการเรียกค่าปรับ
ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 4 ระบุไว้ว่า "เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามข้อตกลงแล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของซึ่งตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบตามจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ขายยอมชดใช้ค่าปรับ กรณีผิดข้อตกลงในอัตราร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่ง แล้วแต่กรณี ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันเลิกข้อตกลง ผู้ขายต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ตกลงซื้อไว้
หากผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกข้อตกลง ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2)วันถัดจากวันครบกำหนดในใบสั่งซื้อนี้ จนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน
ในระหว่างที่มีการปรับตามวรรคสอง ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามข้อตกลงต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกข้อตกลง และในกรณีเช่นนี้ผู้ขายยอมชดใช้ค่าปรับกรณีผิดข้อตกลงในอัตราร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในข้อ 4 วรรคแรกนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกข้อตกลงด้วยก็ได้"
ตามข้อสัญญาดังกล่าว การที่โจทก์มีสิทธิปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ 4 วรรคสอง นั้น เป็นกรณีที่เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว โจทก์ยังไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา หากแต่ยังคงให้สัญญามีผลผูกพันต่อไปโดยยินยอมให้เวลาจำเลยส่งมอบสิ่งของภายหลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วได้ จึงเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยส่งมอบสิ่งของถูกต้องครบถ้วน ส่วนการที่จะมีสิทธิปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ 4 วรรคสาม นั้น เป็นกรณีที่โจทก์บอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับตามสัญญาข้อ 4 วรรคสอง แล้ว กล่าวคือ โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 4 วรรคสองและเรียกให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันแล้ว จากนั้นหากยังเห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้แล้วจึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เช่นนี้จึงจะมีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้จนถึงวันบอกเลิกสัญญา คดีนี้เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญาทันทีโดยได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยส่งมอบสิ่งของต่อไปและสงวนสิทธิในการปรับ แต่การสงวนสิทธิในการปรับนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เรียกให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันแล้ว เมื่อต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ไม่ได้จึงบอกเลิกสัญญา ดังนั้น จึงไม่ใช่การบอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับเป็นรายวันอันจะมีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันได้ดังที่กำหนดไว้ตามสัญญาข้อ 4 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7953/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการปรับเป็นรายวันตามสัญญาซื้อขาย: เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาและการเรียกค่าปรับ
ตามสัญญาเอกสารหมายจ.4ข้อ4ระบุไว้ว่า"เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามข้อตกลงแล้วถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของซึ่งตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบตามจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงได้ในกรณีเช่นนี้ผู้ขายยอมชดใช้ค่าปรับกรณีผิดข้อตกลงในอัตราร้อยละ10ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบและถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันเลิกข้อตกลงผู้ขายต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ตกลงซื้อไว้ หากผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกข้อตกลงผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2)วันถัดจากวันครบกำหนดในใบสั่งซื้อนี้จนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับตามวรรคสองถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฎิบัติตามข้อตกลงต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกข้อตกลงและในกรณีเช่นนี้ผู้ขายยอมชดใช้ค่าปรับผิดข้อตกลงในอัตราร้อยละ10ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในข้อ4วรรคแรกนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกข้อตกลงด้วยก็ได้" ตามข้อสัญญาดังกล่าวการที่โจทก์มีสิทธิปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ4วรรคสองนั้นเป็นกรณีที่เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วโจทก์ยังไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหากแต่ยังคงให้สัญญามีผลผูกพันต่อไปโดยยินยอมให้เวลาจำเลยส่งมอบสิ่งของภายหลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วได้จึงเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยส่งมอบสิ่งของถูกต้องครบถ้วนส่วนการที่จะมีสิทธิปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ4วรรคสามนั้นเป็นกรณีที่โจทก์บอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับตามสัญญาข้อ4วรรคสองแล้วกล่าวคือโจทก์ได้ปฎิบัติตามสัญญาข้อ4วรรคสองและเรียกให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันแล้วจากนั้นหากยังเห็นว่าจำเลยไม่อาจปฎิบัติตามสัญญาต่อไปได้แล้วจึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่นนี้จึงจะมีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้จนถึงวันบอกเลิกสัญญาคดีนี้เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในกำหนดตามสัญญาโจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญาทันทีโดยได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยส่งมอบสิ่งของต่อไปและสงวนสิทธิในการปรับแต่การสงวนสิทธิในการปรับนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เรียกให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันแล้วเมื่อต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ไม่ได้จึงบอกเลิกสัญญาดังนั้นจึงไม่ใช่การบอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับเป็นรายวันอันจะมีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันได้ดังที่กำหนดไว้ตามสัญญาข้อ4วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7907/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันที่ระบุวงเงินรวมดอกเบี้ย
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ระบุว่าเนื่องในการที่โจทก์ยอมรับบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆ เช่น ขาดลดเช็ค ฯลฯ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้น ไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดนั้นจะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้าทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้โดยสินเชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2มิได้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000บาท แต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7907/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการค้ำประกัน: ค้ำทั้งหมดรวมดอกเบี้ย ไม่จำกัดวงเงิน
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ ระบุว่าเนื่องในการที่โจทก์ยอมให้บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆ เช่น ขายลดเช็ค ฯลฯ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้น ไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดชอบนั้นจะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้า ทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้โดยสิ้นเชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2 มิได้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000 บาท แต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7857/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งทิ้งอุทธรณ์: ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งเอกสาร แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม อำนาจสั่งทิ้งอุทธรณ์เป็นของศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้แล้วมีคำสั่งให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงเพื่อจะสั่งเรื่องการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำแถลงของโจทก์แต่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อำนาจหน้าที่ที่จะสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์หรือไม่ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะเป็นผู้สั่งไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7855/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าบำเหน็จนายหน้าสืบเนื่องจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่เชื่อมโยงกับสัญญาจะซื้อจะขาย
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่าง ม. กับจำเลยเกิดจากการชี้ช่องของโจทก์ แม้ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและ ม.ฟ้องจำเลยแต่จำเลยก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมโอนที่ดินพิพาทให้นาย ม.หรือบุคคลที่ ม.ประสงค์ ศาลพิพากษาตามยอม ภายหลังจำเลยได้ปฏิบัติตามโดยโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บริษัท ช. ที่ ม.ประสงค์ ซึ่งตรงกับราคาที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย ดังนี้สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงมีผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมก็ย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าจากจำเลย
สัญญานายหน้าเป็นสัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาจะซื้อจะขายแม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายจะบันทึกเรื่องที่จำเลยตกลงให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่โจทก์ไว้ก็หาทำให้สัญญาค่าบำเหน็จนายหน้าเป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาจะซื้อจะขายไม่ โจทก์ฟ้องเรียกเอาบำเหน็จนายหน้าไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7855/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่านายหน้าจากการชี้ช่องทำสัญญา แม้มีสัญญาประนีประนอมยอมความก็ยังมีผล
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างม.กับจำเลยเกิดจากการชี้ช่องของโจทก์ แม้ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและ ม.ฟ้องจำเลยแต่จำเลยก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมโอนที่ดินพิพาทให้นายม.หรือบุคคลที่ ม.ประสงค์ ศาลพิพากษาตามยอม ภายหลังจำเลยได้ปฏิบัติตามโดยโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บริษัทช.ที่ม.ประสงค์ ซึ่งตรงกับราคาที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขายดังนี้สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงมีผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมก็ย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าจากจำเลย สัญญานายหน้าเป็นสัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาจะซื้อจะขายแม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายจะบันทึกเรื่องที่จำเลยตกลงให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่โจทก์ไว้ก็หาทำให้สัญญาค่าบำเหน็จนายหน้าเป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาจะซื้อจะขายไม่ โจทก์ฟ้องเรียกเอาบำเหน็จนายหน้าไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7855/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่านายหน้าซื้อขายที่ดิน: สัญญาแยกต่างหากจากสัญญาจะซื้อจะขาย มีอายุความ 10 ปี
โจทก์เป็นผู้ชี้ช่องให้ ม. กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยจำเลยตกลงจะจ่ายค่านายหน้าแก่โจทก์อัตราร้อยละ 3 ของราคาที่ซื้อขายกัน แม้ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและ ม. ต้องฟ้องบังคับจำเลยก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมโอนที่ดินให้แก่ ม.หรือบุคคลที่ ม. ประสงค์จะให้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยได้ปฏิบัติตามโดยทำหนังสือจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่บริษัท ช. ที่ ม. ประสงค์มีผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลย สัญญาค่าบำเหน็จนายหน้าเป็นสัญญาที่แยกต่างหากจาก สัญญาจะซื้อจะขาย แม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายจะได้บันทึกเรื่องที่จำเลยตกลงให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่โจทก์ไว้ก็หาทำให้สัญญาค่าบำเหน็จนายหน้าเป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาจะซื้อจะขายไม่ โจทก์ฟ้องเรียกร้องเอาค่าบำเหน็จนายหน้าและไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี
of 65