คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวรรค์ ศักดารักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 643 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5117/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างเบียดบังเช็คของนายจ้างเข้าบัญชีส่วนตัว การฟ้องเป็นคดีผิดสัญญาจ้างงานมีอายุความ 10 ปี
จำเลยเบิกความรับว่าได้นำเช็คของโจทก์ไปเข้าบัญชีจำเลยการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้กระทำการดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวนและเมื่อจำเลยมิได้ส่งมอบเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ย่อมเป็นการเบียดบังจึงต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่ดูแลด้านบัญชีและการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์,ของบริษัท ฉ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือและของนาย ฉ. จำเลยนำเช็คของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงานจึงขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวเป็นการฟ้องเนื่องจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้จึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังข่มขู่, การรับสารภาพหลังสืบพยาน, ดุลพินิจลดโทษ
จำเลยชวนผู้เสียหายไปร่วมหลับนอน จากนั้นทำร้ายร่างกายผูกปาก มัดผู้เสียหาย แล้วชิงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเป็นจำนวนมาก ชั้นพิจารณาโจทก์มีพยานหลักฐานมั่นคงแน่นหนา เชื่อว่า จำเลยให้การรับสารภาพหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเนื่องจากจำนนต่อพยานหลักฐาน ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยได้คืนของกลางหรือชดใช้ราคาทรัพย์ให้แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุกเพียง 7 ปี เป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีอายุ 19 ปี ก็ไม่มีเหตุที่จะลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษให้จำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยชวนผู้เสียหายไปร่วมหลับนอนจากนั้นทำร้ายร่างกายผูกปากมัดผู้เสียหายแล้วชิงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเป็นจำนวนมากชั้นพิจารณาโจทก์มีพยานหลักฐานมั่นคงแน่นหนาเชื่อว่าจำเลยที่ให้การรับสารภาพหนังสือพยานโจทก์เสร็จแล้วเนื่องจากจำนนต่อพยานหลักฐานทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยได้คืนของกลางหรือชดใช้ราคาทรัพย์ให้แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใดการที่ศาลล่างทั้งสองให้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุกเพียง7ปีเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้วแม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีอายุ19ปีก็ไม่มีเหตุที่จะลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษให้จำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5067/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขัดแย้งกับสัญญาประนีประนอมยอมความ มิใช่ฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่ตนเองแต่ผู้เดียวซึ่งผิดไปจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวโจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสิทธิของตนในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5067/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งสิทธิจากสัญญาประนีประนอมยอมความ การฟ้องบังคับตามสัญญายังไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่ตนเองแต่ผู้เดียวซึ่งผิดไปจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสิทธิของตนในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5059/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยตัวแทนที่ไม่เปิดเผยชื่อและผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลภายนอกที่สุจริต
จำเลยที่3รับโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่จำเลยที่2มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่1ซึ่งเป็นคนต่างด้าวโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตเป็นเรื่องที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่2เป็นตัวแทนทำการออกหน้าเป็นตัวการจำเลยที่1หาอาจทำให้เสื่อมเสียสิทธิของจำเลยที่3ที่มีต่อจำเลยที่2และขวนขวายได้สิทธิมาก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนไม่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่1จึงขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่2และที่3และบังคับให้จำเลยที่1และที่2ร่วมกันโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4890/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการอุทธรณ์นอกประเด็นเดิม ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้จัดการมรดกของ ย.จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ ย. ให้ร่วมรับผิดในการที่ ย. ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ไป ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาว่า ย. ไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ แต่การที่ ย. ไม่เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบเป็นการประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของ ย. จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น และโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว การที่โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับผิดต่อโจทก์โดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ไม่ควบคุมดูแลให้ ย. เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้ จึงเป็นการอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4890/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการทุจริตยักยอกเงินและการวินิจฉัยนอกฟ้อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษาชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้จัดการมรดกของย.จำเลยที่2ถึงที่4ในฐานะผู้บังคับบัญชาของย. ให้ร่วมรับผิดในการที่ย. ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ไปศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาว่าย. ไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์แต่การที่ย.ไม่เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบเป็นการประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของย. จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวการที่โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่2ถึงที่4รับผิดต่อโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่2ถึงที่4ไม่ควบคุมดูแลให้ย.เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้จึงเป็นการอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นเดิมหลังศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามราคาที่แท้จริงแต่คดีทั้งสองโจทก์อ้างเหตุเหมือนกันว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันฉ้อฉลซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายต่ำกว่าราคาท้องตลาดคดีทั้งสองจึงเป็นประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบกันซื้อขายที่ดินในราคาที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาดทำให้ทายาทเสียหายหรือไม่เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์แต่คดียังไม่ถึงที่สุดฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการดำเนินการกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นเดียวกัน แม้ขอทางสิทธิแตกต่างกัน ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามราคาที่แท้จริง แต่คดีทั้งสองโจทก์อ้างเหตุเหมือนกันว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันฉ้อฉลซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายต่ำกว่าราคาท้องตลาด คดีทั้งสองจึงมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองได้สมคบกันซื้อขายที่ดินในราคาที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาดทำให้ทายาทเสียหายหรือไม่เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์แต่คดียังไม่ถึงที่สุด ฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการดำเนินการกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
of 65