พบผลลัพธ์ทั้งหมด 643 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่ผู้เช่านา: ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ก่อนฟ้อง
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจะฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่านาเลิกทำนาหรือขับไล่จำเลยได้ก็ต่อเมื่อได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524กรณีสิ้นระยะเวลาการเช่านาแล้วและผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาตามมาตรา37กรณีหนึ่งหรือกรณีผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา31อีกกรณีหนึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะวินิจฉัยซึ่งคำวินิจฉัยคชก.ตำบลอาจอุทธรณ์ไปยังคชก.จังหวัดและศาลได้ตามมาตรา56และมาตรา57ตามลำดับเมื่อคชก.จังหวัดวินิจฉัยถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์เพราะมิได้ใช้สิทธิขอซื้อคืนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้วโจทก์ก็มาฟ้องขอให้จำเลยเลิกทำนาโดยมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกรณีดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ดุลพินิจศาลแรงงานเกี่ยวกับความทุจริตต่อหน้าที่และการจ่ายค่าชดเชย
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานนำผลคำพิพากษาแห่งคดีอาญาซึ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทุจริตต่อหน้าที่เพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานอันจะฟังได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วย การที่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการขับรถและดูแลรักษารวมถึงการตรวจตราเครื่องยนต์ประจำรถยนต์คันเกิดเหตุ จึงต้องมีวิสัยในการดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบให้เรียบร้อยปราศจากสิ่งของอื่นใดซึ่งไม่เคยมีมาก่อน พฤติการณ์ที่จำเลยไม่ดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบดังกล่าวถือได้แล้วว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างและการจ่ายค่าชดเชย: ศาลแรงงานวินิจฉัยการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับความทุจริตของลูกจ้าง
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่าที่ศาลแรงงานนำผลคำพิพากษาแห่งคดีอาญาซึ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทุจริตต่อหน้าที่เพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานอันจะฟังได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วยการที่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการขับรถและดูแลรักษารวมถึงการตรวจตราเครื่องยนต์ประจำรถยนต์คันเกิดเหตุจึงต้องมีวิสัยในการดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบให้เรียบร้อยปราศจากสิ่งของอื่นใดซึ่งไม่เคยมีมาก่อนพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบดังกล่าวถือได้แล้วว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3014-3018/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สวัสดิการเงินตอบแทนพิเศษ: มติคณะกรรมการไม่ใช่เงื่อนไขการจ่าย แต่เป็นวิธีดำเนินการ นายจ้างต้องจ่ายเมื่อลูกจ้างไม่ผิดวินัย
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างระบุว่า"บริษัทให้เงินตอบแทนพิเศษแก่พนักงานที่ทำงานครบ5ปีแล้วลาออกให้เงินตอบแทน50วันของค่าแรงขณะนั้นทำงานเกิน10ปีแล้วลาออกให้เงินตอบแทนไม่น้อยกว่า300วันของค่าแรงขณะนั้นแต่ต้องผ่านมติของคณะกรรมการผู้ที่ทำผิดถูกไล่ออกเงินตอบแทนนี้ไม่จ่ายให้เลย"การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษนี้เป็นสวัสดิการประเภทหนึ่งซึ่งนายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างทุกคนอันถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างด้วยตามถ้อยคำนายจ้างประสงค์จะให้สวัสดิการอันมีลักษณะเป็นการจูงใจพนักงานให้ทำงานอยู่กับบริษัทของนายจ้างเป็นเวลานานปีและหากพนักงานดังกล่าวได้ทำงานครบห้าปีหรือครบสิบปีแล้วลาออกจากงานก็จะได้เงินตอบแทนพิเศษตามอัตราที่กำหนดไว้ทุกคนนายจ้างจะไม่จ่ายเงินตอบแทนพิเศษดังกล่าวให้เฉพาะพนักงานที่กระทำผิดและถูกไล่ออกเท่านั้นสำหรับถ้อยคำที่นายจ้างกำหนดไว้ว่าแต่ต้องผ่านมติของคณะกรรมการนั้นเป็นเพียงวิธีดำเนินการของนายจ้างฝ่ายเดียวเท่านั้นมิใช่เป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษเพราะหากเป็นเงื่อนไขก็จะทำให้การจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปตามความพอใจของนายจ้างหรือการพิจารณาของคณะกรรมการเป็นรายๆไปอันเป็นช่องทางก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นได้เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกจ้างทำผิดถูกไล่ออกตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้างต้นนายจ้างก็ต้องจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่ลูกจ้างนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีขับไล่และการขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ ม.ไปแล้ว โจทก์หลอกลวงให้ ม.กับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย กรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย หากแต่เป็นของบุคคลอื่น โจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ภรรยาจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี แม้จะครอบครองเกินกว่า 10 ปี ก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 224 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง คดีขับไล่และกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ม.ไปแล้วโจทก์หลอกลวงให้ม.กับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยกรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหากแต่เป็นของบุคคลอื่นโจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ4,000บาทศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของม.ภรรยาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ10ปีแม้จะครอบครองเกินกว่า10ปีก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอริบของกลางต้องมีคำขอในฟ้อง ศาลจึงจะริบได้
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับของกลางไว้ แต่มิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบของกลาง ศาลย่อมริบของกลางนั้นไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำฟ้องเล็กน้อย & ประเด็นใหม่ในฎีกา: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำขอท้ายฟ้องเป็นคำขอบังคับที่สืบเนื่องมาจากคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายมาในตอนต้น เมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสาเหตุความรับผิดของจำเลยทั้งสาม รวมทั้งได้บรรยาจำนวนเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกันมาด้วย การขอแก้ไขคำฟ้องตามคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2เป็นขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ให้ตรงกับที่บรรยายฟ้องมาในตอนต้น จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องในคำฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 180 ที่จะต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน
แม้จำเลยจะให้การเป็นประเด็นต่อสู้ในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในฎีกาเป็นคนละเรื่องแตกต่างจากที่อ้างในศาลชั้นต้น และในศาลอุทธรณ์ ถือว่าฎีกาของจำเลยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้จำเลยจะให้การเป็นประเด็นต่อสู้ในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในฎีกาเป็นคนละเรื่องแตกต่างจากที่อ้างในศาลชั้นต้น และในศาลอุทธรณ์ ถือว่าฎีกาของจำเลยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำขอท้ายฟ้องที่พิมพ์ผิดพลาดไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามมาตรา 180 และประเด็นฟ้องเคลือบคลุมที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ต้น
การ ขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องซึ่ง พิมพ์ผิดพลาดให้ตรงกับที่ บรรยายฟ้องมาในตอนต้นเป็นการ แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180ที่ต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน ปัญหาว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยที่2และที่3มิได้ยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นโดยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ส่วนจำเลยที่1ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุมเนื่องจาก เอกสารท้ายฟ้องมีข้อความขัดกันกับคำฟ้องแต่อุทธรณ์และฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยเหตุอื่นจึงถือว่ามิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำฟ้องหลังชี้สองสถานชอบธรรมหากเป็นแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย และประเด็นฟ้องเคลือบคลุมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
คำขอท้ายฟ้องเป็นคำขอบังคับที่สืบเนื่องมาจากคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายมาในตอนต้นเมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสาเหตุความรับผิดของจำเลยทั้งสามรวมทั้งได้บรรยายจำนวนเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดซึ่งเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกันมาด้วยการขอแก้ไขคำฟ้องตามคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยที่2เป็นขอให้บังคับจำเลยที่3ให้ตรงกับที่บรรยายฟ้องมาในตอนต้นจึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องในคำฟ้องเพียงเล็กน้อยไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180ที่จะต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน แม้จำเลยจะให้การเป็นประเด็นต่อสู้ในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นแต่เหตุที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในฎีกาเป็นคนละเรื่องแตกต่างจากที่อ้างในศาลชั้นต้นและในศาลอุทธรณ์ถือว่าฎีกาของจำเลยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย